หน้าแรก > การเมือง

‘เรืองไกร’ ร้องยุบ 8 พรรคร่วมรัฐบาลก้าวไกล ยกเหตุ MOU ครอบงำพรรคการเมือง

วันที่ 24 พฤษภาคม 2023 เวลา 14:56 น.


วันที่ 24 พ.ค.66 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล หรือ MOU ที่ลงนามโดยพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีก 7 พรรค เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 141 , พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 21, 28 และข้อบังคับพรรคก้าวไกล ข้อ 40 ซึ่งอาจจะส่งผลให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรค ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จนถึงขั้นถูกยุบพรรค ตามมาตรา 92 (3) หรือไม่ 

นายเรืองไกร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนเห็นข้อความหนึ่งของการทำ MOU ทั้ง 8 พรรคนั้น ระบุว่าทุกพรรคการเมืองมีสิทธิ์ผลักดันนโยบายอื่นๆ เพิ่มเติม โดยไม่ขัดไปจากนโยบายที่อยู่ใน MOU ไม่ว่าจะเสนอผ่านอำนาจฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติก็ตาม ตนมองว่า นี่เป็นการผูกมัดบีบให้พรรคการเมือง ทั้ง 7 พรรคอยู่ภายใต้การครอบงำชี้นำของพรรคก้าวไกลหรือไม่ ภายใต้ข้อบังคับตาม MOU ดังกล่าว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมส่งผลให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคนี้ กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 114 ที่ระบุว่า  “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ย่อมไม่อยู่ในความผูกมัดหรือครอบงำใด ๆ” 

และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 ที่บัญญัติชัดเจนว่า “ห้ามพรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการอันใด อันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำพรรคการเมือง จนทำให้พรรคการเมืองนั้นขาดความเป็นอิสระ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมส่งผลให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคนั้นถูกยุบพรรคได้ ตามความในมาตรา 92 (3) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560” นายเรืองไกรกล่าว

นอกจากนี้ ตนเห็นว่า การทำ MOU ดังกล่าวนั้น ไม่มีกฎหมายใดรองรับ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล คือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้จะเป็นพรรคที่มีเสียงอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่มีอำนาจในการทำ MOU แต่อย่างใด โดยยกข้อบังคับพรรคก้าวไกลข้อ 40 ว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าพรรคมากล่าวอ้าง ซึ่งไม่มีระบุไว้ว่า หัวหน้าพรรคมีอำนาจ ในการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับพรรคอื่น ๆ แต่อย่างใด 

ด้วยเหตุนี้ ตนจึงเห็นว่าบันทึก MOU ที่ลงนามเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม อาจจะจัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญและข้อบังคับของพรรคดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จึงมีเหตุอันควรให้ กกต. ดำเนินการวินิจฉัยตรวจสอบโดยเร็ว โดยผลร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีขัดกฎหมายนี้ จะส่งผลให้ทั้ง 8 พรรคการเมืองที่ลงนามใน MOU ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคการเมืองได้ ฉะนั้น จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความถูกต้องของ MOU ฉบับดังกล่าวด้วย 

ผู้สื่อข่าวถามว่า บันทึกดังกล่าวไม่ใช่บันทึกที่มีผลเป็นการครอบงำชี้นำพรรคร่วมทั้ง 7 พรรค แต่เป็นความตกลงที่ทั้ง 8 พรรคมาพูดคุย เพื่อทำความเข้าใจในการจัดตั้งรัฐบาล นายเรืองไกรกล่าวว่า แล้วทั้ง 8 พรรคนั้นก็มีการพูดคุยกันมาก่อนแล้วใช่หรือไม่ และยินยอมให้มีการแก้ไข MOU บางข้อ เพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการ คือการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลและทำตามนโยบายภายใต้พรรคก้าวไกล ทำให้ตนมองว่า นี่คือการครอบงำหรือชี้นำ 7 พรรคที่เหลือ แต่สุดท้ายผลการตรวจสอบก็ขึ้นอยู่กับทาง กกต. ตนไม่ใช่ผู้ชี้ขาดว่าทั้ง 8 พรรคทำผิดกฎหมาย 

ผู้สื่อข่าวถามถึงเจตนารมณ์ของนายเรืองไกรที่มายื่นให้ กกต.ตรวจสอบ MOU ของ 8 พรรคการเมือง รวมไปถึงกรณีการตรวจสอบหุ้นสื่อของนายพิธาว่า เป็นเพียงแค่ให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย หรือจงใจที่จะก่อให้เกิดอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งหรือไม่ นายเรืองไกรได้ยกธรรมะมากล่าวอ้างว่า หากเกิดแผลก็ต้องย่อมรักษา หากเกิดแผลก็ต้องดูแล เช่นนั้น หากเกิดข้อสงสัยใด ๆ ที่อาจจะขัดต่อข้อกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ของตนในฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในการยื่นตรวจสอบข้อเท็จจริง 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตนก็เคยยื่นตรวจสอบทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมาหลายครั้ง แม้กระทั่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ตนก็เคยยื่นให้ตรวจสอบหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง วาระ 8 ปี แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีใครสนใจและมองข้าม พอครั้งนี้ตนตรวจสอบนายพิธาและพรรคก้าวไกล ก็มาหาว่าตนรับงานหรือมีเจตนาก่อนิติสงคราม ตนมีเพียงเจตนาในการตรวจสอบตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ หากพบว่าการกระทำใดมีข้อสงสัยว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น
 

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม