หน้าแรก > สังคม

"พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ" ยันไม่หนักใจทำตามหน้าที่ หลังถูก "บิ๊กโจ๊ก" ฟ้อง ม.157 พร้อมปัดข่าวถูกทาบทามไปเป็น "ปลัด มท."

วันที่ 27 มิถุนายน 2024 เวลา 15:42 น.


วันนี้ (27 มิ.ย.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รองผบ.ตร.) เปิดใจถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือ ก.ตร. ที่มติเห็นชอบกับ อนุฯ ก.ตร.วินัยว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากราชการเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย โดยยอมรับว่าได้มีการแถลงให้ที่ประชุม ก.ตร.รับทราบถึงที่ไปที่มาและเหตุผลในการออกคำสั่งดังกล่าว ก่อนที่จะออกมาด้านนอกและให้ในที่ประชุมได้ลงมติดังกล่าว พร้อมระบุ ภายหลังจากทราบผลตนเองรู้สึกว่า ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตนเองทำหน้าที่ด้วยความสุจริตใจ ซึ่งช่วงเวลานั้น ใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกศาลออกหมายจับ และไม่ไปรับทราบข้อหาตามหมายเรียก ซึ่งในขณะที่พนักงานสอบสวนไปขอศาลออกหมายจับ ศาลได้นำเรื่องพฤติการณ์ทางคดีและพยานหลักฐานต่างๆไปพิจารณาโดยใช้เวลาพิจารณานานเกือบ 1 วัน และยืนยันว่าทำไปด้วยความสุจริตใจไม่ได้ต้องการขัดแข้งขัดขาอย่างที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตั้งข้อสังเกต ส่วน ก.ตร.วานนี้ ตนไม่ได้มีความดีใจหรือเสียใจ เป็นความรู้สึกปกติเพราะผลออกมาจากการพิจารณาออกคำสั่งของตนเองเป็นไปตามข้อกฎหมายข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ตามความร้ายแรงที่เกิดขึ้น เพราะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวย้ำว่าผลที่ออกมา ตนเองไม่ได้สบายใจขึ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก แต่ต้องตัดความสบายใจหรือไม่สบายใจออกไปตั้งแต่แรกในการออกคำสั่งและปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ ตนเองมองว่า ตนเองไม่สบายใจในเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและการปฏิบัติหน้าที่ของปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดในวันนี้มากกว่า ซึ่งใจตนเองอยากให้ปัญหาความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หายไปเพื่อให้ข้าราชการตำรวจทุกนายสบายใจประชาชนสบายใจและดูแลทุกภาคส่วนได้ดีมากขึ้น มองว่าหากปัญหาดังกล่าวหายไปตนเองจะสบายใจมากขึ้น

โดยในขั้นตอนหลังจากนี้ อยู่ที่ ก.พ.ค.ตร.จะพิจารณา ดำเนินการต่อไป ซึ่งภายหลังจากที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ทำอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ตนเองก็ได้ทำคำแก้อุทธรณ์ส่งไปให้ทาง ก.พ.ค.ตร.แล้ว และเชื่อว่า ก.พ.ค.ตร.อาจจะนำผลการพิจารณาของ อนุฯก.ตร.วินัย และผลการลงมติ ก.ตร.ไปพิจารณาด้วย ซึ่งตามขั้นตอนแล้วหากผลการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ออกมาอย่างไร ตร.ก็ต้องปฎิบัติตาม ส่วนผลออกมาไม่เป็นคุณต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เชื่อว่าคงจะไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองสูงสุดในขั้นตอนสุดท้าย

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าหากผลคำวินิจฉัย ของ ก.พ.ค.ตร.ออกมาไม่เป็นบวก ก็จะฟ้องร้องเอาผิดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ตนมองว่าเป็นสิทธิ์ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถทำได้ และเป็นธรรมดาที่ตำรวจจะโดนฟ้องจากผู้จับกุมผู้ที่ถูกตรวจค้น แต่อยากให้ทำด้วยความสุจริตใจและไม่ได้มีเจตนาใดแอบแฝง ซึ่งตนเองไม่ได้มีเจตนาใดๆมองว่าตนเองสามารถตอบและชี้แจงต่อหน่วยงานและองค์กรต่างๆได้

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุม ก.ตร.เมื่อวานนี้มีแต่คณะกรรมการที่อยู่เป็นลูกน้องของ ผบ.ตร. นั้นว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คงมองว่าไม่เป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนและขอความเป็นธรรมได้ ซึ่งเป็นสิทธิ์แต่การฟ้องร้องขอให้มีข้อมูลและเหตุผลเพียงพอเพราะไม่เช่นนั้นผู้ถูกฟ้องก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายกลับไปเหมือนกัน แต่สำหรับตนเองไม่ได้วิตกกังวลอะไรเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ทำหน้าที่ป้องกันปราบปรามต่อไป ซึ่งเป็นมุมมองความคิดที่ขยายออกไปได้แต่ตนเองได้ให้เหตุผลไปแล้ว

ทั้งนี้ ภายหลังจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับมาปฏิบัติราชการแล้วก็ได้มีการทักทายกันตามปกติและได้ทำงานร่วมกัน ก็มีการทักทายกันปรึกษางานกันตามปกติไม่มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องนโยบายเกี่ยวกับการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน

ส่วนกระแสข่าวที่ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเรื่องนี้ไม่ทราบข่าวจริงๆแต่เชื่อว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับมาก็ต้องทำงานของตนเองส่วนเรื่องอื่นชื่อว่าท่านจะต้องไปพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรมเอง ส่วนที่มีการมอบหมายให้ตนเองไปประชุม ผบ.เหล่าทัพ หรือแม้แต่การประชุมติดตามผลการปิดล้อมกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดวันนี้ ที่นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมผ่านระบบทางไกลนั้น ชี้แจงว่าการประชุม ผบ.เหล่าทัพ เป็นเพราะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีการมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรไว้นานก่อนแล้ว ส่วนการประชุมฯวันนี้ ตนเองเป็นผอ.ศอ.ปส.ตร.ก็ต้องมาประชุมเองและมีการมอบหมายไว้แล้ว ยืนยันว่าไม่มีอะไรและทำงานกันได้อย่างปกติ

ข่าวยอดนิยม