หน้าแรก > อาชญากรรม

ยันไม่ได้กลั่นแกล้ง รวบนักข่าวสาว แอบอ้างชื่อเรียกรับเงินอ้างช่วยล้มคดีแก๊งอุ้มบุญจีนเทา

วันที่ 28 พฤษภาคม 2566 เวลา 14:28 น.


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีนักข่าวสาวสื่อจีน แอบอ้างชื่อตนเองเรียกรับเงินจากนวพร แก๊งอุ้มบุญทุนจีนสีเทา 33 ล้านบาท เพื่อล้มคดี แต่นวพร จ่ายเพียง 14 ล้านบาท ว่า การจับกุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่ต้องทำเพราะเรื่องนี้สร้างความเสียหายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ตนเอง รวมถึงกระบวนการยุติธรรม

ส่วนสาเหตุที่ได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนนั้น เพราะเป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดี ที่เห็นชอบให้ประกัน โดยใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัวสูงสุด 3.5ล้านบาท และขึ้นแบล็คลิสต์ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด

ทั้งนี้ รอง ผบ.ตร. ยอมรับว่า ผู้ต้องหามีความสนิทสนมกับตนจริง ตั้งแต่ตอนเป็นผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เนื่องจากผู้ต้องหาเคยช่วยงานในภารกิจเหตุเรือล่มของนักท่องเที่ยวจีน และเคยให้ข้อมูลเกี่ยวธุรกิจทุนจีนสีเทา แต่เมื่อกระทำการในลักษณะนี้ก็จำเป็นต้องดำเนินการ ยืนยันมีพยานหลักฐานมากเพียงพอ และมีประจักษ์พยานที่ยืนยันการกระทำของผู้ต้องหาได้ ถึงแม้การเรียกรับเงินจะเป็นเงินสด

สำหรับคดีนี้ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำผิดเพียงคนเดียว แต่กระทำผิดร่วมกับสามีชาวจีนที่ใช้ชื่อไทยซึ่งถูกจับกุมไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะขยายผลมาจับกุมในครั้งนี้ ซึ่งตนได้รับข้อมูลพฤติกรรมของผู้ต้องหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐาน หรือ ประจักษ์พยานที่ยืนยันพฤติกรรมของทั้งคู่ได้ จนกระทั่งมาถึงคดีของนวพร ที่ตัวนวพรเป็นผู้ให้ข้อมูล ประกอบกับมีพยานหลักฐานอื่นๆ และมีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำกังกล่าว ตำรวจจึงต้องดำเนินการ

พร้อมยอมรับว่าการดำเนินการครั้งนี้ เป็นการปรามนักข่าวรวมถึงบุคคลใกล้ชิดตน ที่คิดใช้ชื่อตนแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่ชอบ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้โกรธ แต่วางเฉยการกระทำลักษณะนี้ไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาหลังได้รับการประกันตัว ได้ติดต่อมาเพื่อขอเข้าพบตน และขอพาสปอร์ตคืนเพื่อเดินทางไปยังฮ่องกง โดยอ้างว่ามีประชุมของบริษัท แต่ไม่สามารถอนุญาติได้ ต้องรอให้คดีถึงที่สุด และหลังจากนี้ก็ให้ผู้ต้องหาไปต่อสู้ในชั้นศาล

ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาโพสต์ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียร์ว่าถูกแก้แค้นจากทุนจีนสีเทา และยืนยันไม่ได้กระทำผิด วอนทุกคนอย่างเชื่อ รองผบ.ตร.ระบุว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะปฏิเสธ และเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่หากไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ศาลจะไม่อนุมัติหมายจับให้

พนักงานสอบสวนให้เปิดเผยว่า ผู้ต้องหามีสัญชาติจีน แต่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี และภายหลังที่ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือเป็นล่ามภาษากลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย เคยได้รับการไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกะนปรามปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 ซึ่งหลังจากมีสถานะตกเป็นผู้ต้องหา รองผบ.ตร.อยู่ระหว่างปลดจากตำแหน่งดังกล่าวทันที ส่วนตัวผู้ต้องหาปัจจุบันถือวีซ่าThailand Privilege Card หรือ วีซ่าประเภทพิเศษสำหรับนักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติ  

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม