หน้าแรก > อาชญากรรม

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ระงับเหยื่อโอนเงินทัน 22 ราย หนึ่งในนั้นเป็นหญิงวัย 40 ถูกหลอกให้รักก่อนชวนลงทุน สูญเงินกว่า 34 ล้านบาท

วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 05:00 น.


ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ระงับเหยื่อโอนเงินทัน 22 ราย หนึ่งในนั้นเป็นหญิงวัย 40 ถูกหลอกให้รักก่อนชวนลงทุน สูญเงินกว่า 34 ล้านบาท

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) ระงับเหยื่อโอนเงินทัน 22 ราย หนึ่งในนั้นเป็นหญิงวัย 40 ถูกหลอกให้รักก่อนชวนลงทุนทำภารกิจข้ามประเทศ สูญเงินกว่า 34 ล้านบาท รอบสัปดาห์พบแผนคนร้ายเน้นหลอกแบบ Hybrid สร้างความสับสนให้เหยื่อก่อนเชือดเอาเงิน

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์
รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 14 - 20 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 6,846 คดี มูลค่าความเสียหาย 424,227,516 บาท (เฉลี่ยประมาณ 60.6 ล้านบาทต่อวัน) ซึ่งคดีที่รับแจ้งรอบนี้ลดลงจากห้วงวันที่ 7- 13 ธ.ค. 68 จำนวน 51 คดี แต่กลับพบว่ามูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 2,624,041 บาท พบว่าแม้ภาพรวมจำนวนคดีจะลดลงเล็กน้อย แต่ความเสียหายที่เพิ่มขึ้นกว่า 2.6 ล้านบาทสะท้อนว่าคดีที่เกิดขึ้นนั้นมีมูลค่าความเสียหายต่อคดีสูงกว่าเดิม มิจฉาชีพอาจกำลังมุ่งเป้าไปที่เหยื่อที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงขึ้น หรือมีวิธีการหลอกลวงที่จะสามารถดึงเงินเหยื่อได้มากขึ้นต่อหนึ่งครั้งการก่อเหตุ

หากนับเชิงปริมาณ ของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1. ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่มีจำนวนมากถึง 64.3 เปอร์เซ็นต์ โดยคนร้ายเน้นหลอกคนจำนวนมาก กระจายตัวกว้าง แม้ว่ามูลค่าต่อคดีจะไม่สูงนัก แต่ก็ยังเป็นภัยคุกคามวงกว้างที่มักเกิดขึ้นเป็นพิเศษในช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งพบยอดความเสียหายและจำนวนคดีพุ่งสูง ขณะที่อันดับ 2 คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล และอันดับที่ 3 คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหาย อันดับ 1 ยังคงเป็นของ คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลฯ อันดับที่ 2 ยังคงเป็นการหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และอันดับ 3 หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว

ข้อมูลจากชุดวิเคราะห์ข้อมูลที่น่าสนใจ และต้องระวัง คือพบว่าการหลอกลวงแบบ “ผสมผสาน” (Hybrid) จะรุนแรงขึ้น เห็นจากการหลอกซื้อของที่กลายเป็นการหลอกทำงาน หรือหลอกให้รักแล้วชวนลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ เส้นแบ่งระหว่างประเภทคดีจะเริ่มจางลง ทำให้เหยื่อสับสนและเสียหายหนักขึ้น

การหลอกลวงแต่ละครั้งจะมีการย้ายแพลตฟอร์ม โดยคนร้ายจะยังคงใช้ Facebook / Tiktok แค่ “ล่อ”และใช้ Line ในการ “หลอก” เพราะเป็นพื้นที่ปิด

AI และ Deepfake แม้จะยังไม่เคยเจอเคส Deepfake ชัดเจน แต่การที่มีการอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ (DSI /ตำรวจ) ถี่ขึ้น มีความเสี่ยงสูงที่ในอนาคตอันใกล้จะมีการนำ AI เสียงหรือหน้ามาใช้ประกอบการวิดีโอคอลเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทัน

ประกอบกับข้อมูลที่พบว่าในรอบสัปดาห์ที่่ผ่านมามิจฉาชีพได้ใช้แผนประทุษกรรม ดังต่อไปนี้

1.มีการกลายพันธฺุ์ของการซื้อของออนไลน์ โดยไม่ได้เป็นเพียงแค่การโกงไม่ส่งของเช่นเคย แต่กลับพัฒนาไปสู่การ หลอกให้ทำภารกิจ สำหรับวิธีการนั้น เริ่มจากคนร้ายจะโพสต์สินค้าที่เป็นที่ต้องการ เช่น นมผง Ensure ,โทรศัพท์มือถือ,เครื่องปั๊มนม หรือ รถยนต์มือสอง ในราคาถูก เมื่อเหยื่อสนใจและโอนเงินซื้อ จะถูกชักชวนเข้ากลุ่ม Line Open Chat เพื่อทำกิจกรรม/ภารกิจเพิ่มเพื่อรับสิทธิพิเศษ หรืออ้างว่าต้องทำภารกิจก่อนถึงจะส่งของได้ ทำให้เหยื่อเสียเงินซ้ำซ้อน (ซึ่งกลุ่มวัยรุ่น/นักศึกษา รวมถึงกลุ่มแม่ตั้งครรภ์/แม่ลูกอ่อนมักตกเป็นเหยื่อในคดีนี้)

2.หลอกลงทุน ด้วยการอ้างตัวเป็น โค้ช หรือ อาจารย์ สอนเทรดหุ้น ใช้วิธีสอนฟรีในตอนแรก (เช่นเรียน 10 ครั้ง) จากนั้นชักชวนให้โอนเงินลงทุนผ่าน คนกลาง หรือ แอปพลิเคชันเทรดปลอม โดยอ้างผลกำไรสูงเกินจริง แต่สุดท้ายก็ถอนเงินออกมาไม่ได้

3.แก๊งคอลเซ็นเตอร์และแอบอ้างหน่วยงาน โดยมักจะอ้างเป็น DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ,AIS และ DHL ใช้มุกอ้างว่ามีพัสดุผิดกฎหมาย หรือเบอร์โทรศัพท์ไปพัวพันกับการกระทำผิด และ โอนสายให้ตำรวจ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา บีบให้เหยื่อโอนเงินไปตรวจสอบ

4.แอบอ้างเป็นคนรู้จัก / ญาติ โดยใช้ไลน์ หรือเฟซบุ๊ก (ที่อาจจะถูกแฮกมา) ทักไปขอยืมเงินด่วน อ้างว่าแอปธนาคารเข้าไม่ได้ หรือต้องรีบจ่ายค่าสินค้า ขอให้ช่วยโอนตรงไปให้ร้านนั้นๆก่อน

หนึ่งในเคสที่มีมูลค่าความเสียหายสูง คือเรื่องราวของหญิงวัย 40 ปี ที่ถูกคนร้ายใช้ Line รูปโปรไฟล์หน้าตาดี ใช้ชื่อว่า "SUN" ทักหาอ้างว่าทักผิด จากนั้นชวนคุยก่อนเดินหน้าจีบ อ้างตัวว่าทํางานบริษัทไอทีและถูกส่งไปแก้ระบบที่เกาหลีใต้ พูดคุยกันร่วม 2 เดือน เร่ิมชักชวนทำภารกิจกดรับออเดอร์เดอร์ผ่านเว็บไซต์ปลอม พร้อมโชว์ยอดกําไรของตัวเองให้ดูเพื่อล่อใจเหยื่อ ไม่พอยังขอยืมเงินผู้เสียหายเพื่อนําไปลงทุน โดยส่งภาพบัตรประชาชนชายไทยคนหนึ่ง เพื่อยืนยันตัวตน สุดท้ายผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปร่วมลงทุนทำภารกิจ โอนไป 5 บัญชี จำนวนหลายครั้ง แต่เมื่อผู้เสียหายต้องการถอนเงินคืน ระบบแจ้งว่าถอนไม่ได้ พร้อมทั้งสร้างเงื่อนไขหลอกให้โอนเงินเพิ่มเรื่อยๆ อ้างสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยน,ภาษี 12% ,เงินประกัน , ค่าปรับบัญชีผิดกฎหมาย/ฟอกเงิน , เงินประกันความบริสุทธิ์ , ค่าละเมิดกฎระบบ, ค่าดำเนินการเร่งด่วน เป็นต้น ล่าสุดขณะที่ผู้เสียหายโอนเงินยอดสุดท้ายและกำลังรอระบบตรวจสอบ ทางศูนย์ ACSC พบธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ เร่งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุพรรณบุรี เดินทางไปยังบ้านผู้เสียหายโดยด่วน เพื่อแจ้งให้ทราบว่านั่นคือมิจฉาชีพ พร้อมระงับการโอนเงิน ก่อนจะเกิดความเสียหายเพิ่มเติม รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 34 ล้านบาท

ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 19 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 22 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 5,114,184 บาท สามารถจับกุมได้ 7 คดี โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้

เคสที่ 1 เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางนา เข้าช่วยเหลือหญิงผู้เสียหายวัย 67 ปี หลังพบว่ากำลังโอนเงินเข้าบัญชีม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจไปพบตัวผู้เสียหายก่อนระงับการโอนเงิน พร้อมแจ้งให้ทราบว่ากำลังถูกมิจฉาชีพหลอก โดยทราบภายหลังว่าผู้เสียหายเป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับสายคนร้ายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กองคลัง จะช่วยเรื่องเงินตอบแทนหลังเกษียณ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้กดแอดเพื่อนทางไลน์และติดต่อกับคนร้ายในคราบของเจ้าหน้าที่กองคลัง ก่อนจะถูกหลอกถามบัญชีและยอดเงินในบัญชีธนาคาร จากนั้นคนร้ายออกอุบายให้ผู้เสียหายเปิดแอปฯธนาคาร และทำตามขั้นตอนของคนร้าย ก่อนอ้างต้องยืนยันการรับเงินโดยต้องสแกนหน้าผ่านแอปธนาคาร ผู้เสียหายหลงเชื่อทำตาม กดโอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย 305,860 บาท เจ้าหน้าที่จึงรีบพาเข้าแจ้งความทันที

เคสที่ 2 เจ้าหน้าที่ศูนย์ ACSC ประสานตำรวจสภ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เข้าช่วยเหลือเหยื่อเป็นหญิงสาววัย 29 ปี หลังถูกคนร้ายอ้างตัวเป็นชาวต่างชาติอ้างจะส่งของมาให้ ก่อนจะมีขนส่งติดต่อมาว่าสินค้าถึงไทยแล้วแต่ไม่สามารถส่งหาผู้เสียหายได้ จากนั้นให้ผู้เสียหายแอดไลน์และชำระค่าภาษีนำส่ง ก่อนให้โอนค่าอื่นๆอีกต่อเนื่อง ซึ่งขณะไปที่บ้านพักพบเพียงคุณแม่และน้องชายของผู้เสียหาย ขณะที่เจ้าตัวอยู่ที่ทำงาน  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้โทรศัพท์หา พร้อมอธิบายสถานการณ์ เพื่อให้หยุดโอนเงินให้คนร้าย แต่ผู้เสียหายกลับไม่เชื่อว่ากำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงต้องให้คนในครอบครัวยืนยันสักระยะ กระทั่งผู้เสียหายยอมเชื่อ เจ้าหน้าที่จึงพาเข้าแจ้งความ มูลค่าเสียหายกว่า 70,000 บาท

 

ข่าวยอดนิยม