หน้าแรก > อาชญากรรม

ตร.สอบสวนกลางร่วมกับสถานทูตเกาหลีใต้ บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 15:42 น.


วันที่ 8 ธันวาคม 2568 พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ ผบก.ปอท. พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. นำกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ​จาก​กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) โดยร่วมกับ เจ้าหน้าที่แผนกกงสุลตำรวจสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มงานสนับสนุนฯ บก.ปอท. ​ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้และชาวจีน จำนวน 17 ราย ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ตามมาตรา 8 ประกอบมาตรา 101 แห่ง พรก.การบริหารการจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และมาตรา 81 แห่ง พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
 
การจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย และ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันสืบสวนและแลกเปลี่ยนข้อมูลพบเบาะแสว่ามีกลุ่มบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ เชื่อว่าเป็นขบวนการคอลเซ็นเตอร์หลบหนีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศไทย

โดยหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ พัทยา จ.ชลบุรี จึงได้เข้าไปตรวจค้นพบบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ จำนวน 4 ราย ซึ่งจากการสอบปากคำพบว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ลักษณะหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่ โดยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศกัมพูชา ทั้งยังใช้วิธีการแอบอ้างเป็นบริษัทรีสอร์ตชื่อดังของประเทศมาเลเซีย เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อและร่วมลงทุน ทำให้มีผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ความเสียหายรวมทั้งสิ้น 20,160,531,817 วอนเกาหลี (KRW) หรือประมาณ 500,000,000 บาท

จากการสืบสวนขยายผลพบว่ายังมีกลุ่มผู้ร่วมขบวนการที่หลบหนีมาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยจากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เข้ามาหลบซ่อนตัว โดยเช่าคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 3 และ คอนโดมิเนียม ย่านลุมพินี และจากการตรวจค้นพบว่าพื้นที่ภายในถูกดัดแปลงเป็นห้องขนาดเล็กประมาณ 20 ห้อง แต่ละห้องมีโทรศัพท์, เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเปิดหน้าจอค้างอยู่ ซึ่งมีการแสดงผลเป็นข้อความบทสคริปต์, เอกสารสคริปต์สำหรับพูดหรือพิมพ์เพื่อใช้ในการหลอกลวงทางออนไลน์, รายชื่อเหยื่อ

ซึ่งจากการซักถามผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุทราบว่า บทสคริปต์ดังกล่าวใช้เป็นต้นแบบในการสื่อสารหลอกลวงเหยื่อผ่านช่องทางออนไลน์ และเมื่อตรวจสอบอุปกรณ์โทรศัพท์ ที่ใช้ในการสื่อสารของผู้ต้องหา พบว่าเป็นการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับเหยื่อในประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีการปลอมเป็นอัยการของประเทศเกาหลีใต้ หรือเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศเกาหลีใต้ โทรศัพท์ข่มขู่เหยื่อโดยหลอกว่ามีคดี และหลอกให้เหยื่อโอนเงินให้กับกลุ่มคนร้าย และใช้วิธีการปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารของประเทศเกาหลีใต้ หลอกให้กู้เงิน และให้โอนเงินค่าดำเนินการ จากการตรวจค้นคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 3 สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 10 ราย โดยในการเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจสอบเอกสารประจำตัวและใบอนุญาตทำงานและสอบถามผู้ต้องหาผ่านล่ามแปลภาษา ทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวมีการลักลอกเข้ามาทำงานในบริษัทฯ ภายในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน  สน.บางโพงพาง และ สน.ลุมพินี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. กล่าวว่า ตรวจค้นตรวจยึดพยานหลักฐานสำคัญเพื่อตรวจสอบเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ VoIP กว่า 50 เครื่อง, โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 35 เครื่อง, บทสคริปต์หลอกลวงและบัตรประจำตัวอัยการประเทศเกาหลี(บัตรปลอม) และเอกสารหลายอื่นๆ อีกหลายรายการ จากพฤติการณ์ทั้งหมด เชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ใช้สถานที่นี้ในการหลอกลวงชาวเกาหลีใต้ให้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับกลุ่มคนร้าย โดยมีการจัดเตรียมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และช่องทางสื่อสารครบถ้วนเพื่อใช้ในการกระทำความผิด และจากตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และพยานหลักฐานเบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้เสียหายในประเทศไทย

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานงานกับแผนกกงสุลตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย เกี่ยวกับข้อมูลพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายดังกล่าวและความผิดที่เกิดขึ้น รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการประสานความร่วมมือ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ข่าวยอดนิยม