หน้าแรก > อาชญากรรม

ปอท. รวบจีนเทา ขบวนการฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แฝงใช้ อีลิท วีซ่า ขณะกำลังหลบหนีออกนอกประเทศ

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23:36 น.


ปอท. รวบจีนเทา ขบวนการฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แฝงใช้ อีลิท วีซ่า ขณะกำลังหลบหนีออกนอกประเทศ

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) โดย พล.ต.ต.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ ผบก.ปอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.2 บก.ปอท. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา Mr.Ta (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 13 มิ.ย.68

ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”

สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคม 2568 ผู้เสียหายพบโฆษณาขายสินค้าทางเฟซบุ๊ก และถูกนำไปยังกลุ่มไลน์ Open Chat ชื่อ “Shopping Center” ซึ่งมีสมาชิกกว่า 700 คน ผู้เสียหายจึงเริ่มลงขายสินค้าหนึ่งชิ้นราคา 1,420 บาท ต่อมามี "ลูกค้า" สนใจและขอรหัสร้านค้า แอดมินแจ้งว่าต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “SELLER CENTER” และให้ติดต่อเจ้าหน้าที่การเงิน เจ้าหน้าที่อ้างว่ามียอดขายเข้าระบบแต่ยังถอนไม่ได้เพราะยังไม่ “เปิดการมองเห็นร้านค้า” จากนั้นผู้เสียหายถูกเชิญเข้ากลุ่มไลน์เล็กชื่อ “เปิดการมองเห็นร้านค้า” และให้ออกจากกลุ่มเดิม โดยหลอกให้ทำกิจกรรม ซึ่งต้องโอนเงินเข้าเพื่อให้ระบบนำไปหมุนเวียนสต็อกสินค้า ซึ่งในเว็ปไซต์ที่คนร้ายส่งให้ผู้เสียหาย มีเงินจากการทำกิจกรรมเข้ามาในระบบจริง ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อ และได้ลงทุนเพิ่ม ภายหลังเมื่อต้องการถอนเงิน คนร้ายอ้างว่า เหตุผล / สร้างเงื่อนไขต่างๆ ให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าระบบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเบิกถอนเงินออกจากระบบได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 2.9 ล้านบาท​

จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน สามารถออกหมายจับผู้ต้องหา ได้รวมทั้งสิ้น 34 ราย โดยแบ่งเป็นชาวจีน 10 ราย และชาวไทย 24 ราย โดยเป็นกลุ่มขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ตั้งแต่ระดับนายทุนสั่งการ, ฟอกเงิน, รับผลประโยชน์, กลุ่มบัญชีม้า, นายหน้าจัดหาบัญชีม้า, ผู้ดูแลคอกม้า/ควบคุมการเบิกถอนเงินสด หรือการโอนเงินต่างๆ โดยแบ่งการปฏิบัติการเป็น 2 ห้วง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 8 เม.ย.68 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่      7 พ.ค.68 สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวมทั้งสิ้น 28 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ อาทิเช่น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก 12 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 64 เครื่อง และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อีกจำนวนหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากนั้นได้สืบสวนขยายผลจนทราบเพิ่มเติมว่า Mr.Ta (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับนี้เป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นผู้ฟอกเงินในประเทศไทย โดยมีหน้าที่ได้การแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัล (USDT) เป็นเงินบาท และเงินหยวน เพื่อโอนต่อให้เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายอื่นๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับ Mr.Ta (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน ต่อศาล

ต่อมา เมื่อวันที่ 12 พ.ย.68 เวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ด่าน ตม.ทอ.ดอนเมือง บก.ตม.2 ได้สืบสวนจนทราบว่า Mr.Ta (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน กำลังจะหลบหนีเดินทางออกนอกประเทศไทย จึงได้ร่วมกันวางแผนจับกุมผู้ต้องหา จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ที่บริเวณท่าอากาศยานดอนเมือง แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพ และได้ตรวจยึดของกลาง ทรัพย์สินต่างๆ อาทิ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง, บัตรเอทีเอ็ม/บัตรเครดิต จำนวน 10 ใบ ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ 12 อัน , ใบเสร็จการโอนเงิน, สลิปฝาก/ถอนเงินสด อีกหลายรายการ โดย Mr.Ta (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน เดินทางเข้าประเทศไทยโดยใช้อีลิท วีซ่า อีกทั้งจากการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่า ภายในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง Mr.Ta (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน มีการรับเงินสกุลดิจิทัล (USDT) มากกว่า 330 ล้านบาท จากนั้นจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท และเงินหยวน ผ่านเอ็กเชนจ์แพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อโอนต่อให้เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายอื่นๆต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับว่า ตนเองเป็นผู้ใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัลจริง ส่วนการรับและแลกเปลี่ยนเงินดังกล่าว อ้างว่าเป็นการทำตามคำสั่งของลูกค้าชาวจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากผู้ต้องหาไม่มีหลักฐานมายืนยันตามคำกล่าวอ้างแต่อย่างใด

 

ข่าวยอดนิยม