หน้าแรก > สังคม

คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุมโรคติดต่อ 4 โรคสำคัญ พร้อมจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส

วันที่ 11 มีนาคม. 2568 เวลา 12:48 น.


คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุมโรคติดต่อ 4 โรคสำคัญ พร้อมจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส

วันนี้ (11 มี.ค.68)นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมกล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ 2 เรื่อง คือ นโยบายและแนวทางการป้องกันควบคุมโรคติดต่อที่สำคัญ 4 โรค ได้แก่ 1) โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ปี 2568 พบผู้ป่วยแล้ว 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย อัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5 – 9 ปี และเด็กเล็ก 0 - 4 ปี โดยระบาดเป็นกลุ่มก้อนเฉพาะในโรงเรียน ค่ายทหารและเรือนจำ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ A (H1N1) ที่ประชุมจึงได้มีนโยบายมอบกรมควบคุมโรคร่วมกับ สปสช. สนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม โดยจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีกโลกเหนือในพื้นที่ที่มีการระบาด จำนวน 6 จังหวัด (พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ และกทม.) และจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีกโลกใต้จำนวนเพิ่มขึ้น จาก 4.5 ล้านโดสเป็น 6 ล้านโดส 2)

2) โรคไข้เลือดออก แม้ผู้ป่วยมีแนวโน้มลดลง อัตราตายสูงสุดในกลุ่มเด็กและช่วงอายุ 40 – 59 ปี ซึ่งยังคงเฝ้าระวังและเร่งรัดมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับทราบความก้าวหน้าโครงการศึกษาวิจัยวัคซีนโรคไข้เลือดออก และให้ อสม. สำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย รวมทั้งกำหนดนโยบายศึกษาเรื่องความปลอดภัยและการใช้ประโยชน์จริงในประเทศไทย โดยคาดว่าจะเริ่มพื้นที่นำร่อง ณ จังหวัดนครพนม ในวันที่ 4 เมษายน 2568

3) โรคฝีดาษวานร พบผู้ป่วยสะสม 873 ราย เสียชีวิต 13 ราย โดย 12 รายเป็นเพศชาย และทุกรายตรวจพบเชื้อ HIV จึงได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ คัดกรองผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ให้บุคลากรทางการแพทย์ คลินิกและโรงพยาบาล เฝ้าระวังและให้ความรู้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งสนับสนุนการฉีดวัคซีนโรคฝีดาษให้กับกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดเสี่ยงและไทยได้รับบริจาควัคซีนมาจากสมาพันธ์ ASEAN 2,220 โดส ซึ่งกำลังแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มเสี่ยง

และ 4) โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี ที่นำไปสู่ภาวะตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับได้ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยที่คัดกรองพบติดไวรัสตับอักเสบ B จำนวน 290,396 ราย แต่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเพียง 34,182 ราย (13.33%) แม้ว่าจะมีการคัดกรองมากแต่ผู้ที่เข้าตรวจยืนยัน และได้รับการรักษาครบตามโปรแกรมยังน้อย จึงจำเป็นต้องติดตามข้อมูลจากการคัดกรองและเฝ้าระวัง เพื่อให้การดูแลและรักษาเป็นไปอย่างครบวงจรก่อนส่งกลับชุมชน โดยได้กำหนดนโยบายและแนวทางการติดตามการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี อย่างเป็นระบบในลักษณะ (Care-Code-Control) (Care - ใช้ข้อมูลคัดกรองเข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง, Code - ใช้ข้อมูลดิจิทัลติดตามการตรวจยืนยันและการรักษา, Control - ติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง) พัฒนาโปรแกรม Hepatitis-BC-DDC กรมควบคุมโรค เชื่อมต่อกับระบบเฝ้าระวัง โดยเน้นส่งเสริมให้ประชาชนมาตรวจยืนยันและเข้ารับการรักษาครบโปรแกรม เพื่อติดตามผู้ป่วยมารับการดูแลรักษาได้อย่างครอบคลุม และเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งตับในอนาคต โดยจะเร่งรัดมาตรการการดำเนินงานทั้ง 4 โรค ผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. ต่อไป

นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า อีกเรื่องคือ การเห็นชอบร่างประกาศ 2 ฉบับ คือ 1) ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การจัดตั้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศเพิ่มเติม ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จังหวัดสระแก้ว ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และ 2) ร่างประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มเติมผู้แทนหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ 3 ด่าน คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ด่านพรมแดนท่าลี่ จังหวัดเลย และท่าเรือปัตตานี จังหวัดปัตตานี พร้อมกันนี้ ยังมีการทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และรับทราบการจัดทำอนุบัญญัติภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 รวมถึงติดตามความก้าวหน้าการฉีดวัคซีน HPV ปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีการจัดกิจกรรมคิกออฟ 5 ภาค ใน 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี พิษณุโลก สุโขทัย หนองคาย มหาสารคาม ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และปัตตานี ฉีดวัคซีนสะสม 700,860 โดส (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มีนาคม 2568) ในกลุ่มเด็ก ป.5 และผู้ที่เคยรับเข็มที่ 1 มาก่อน และกำลังจะฉีดกลุ่มที่ตกค้างอายุ 11- 20 ปี อีก 2 แสนโดส โดยไปรับวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแต่ละแห่งประกาศไว้

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม


เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา

อ่านเพิ่มเติมยอมรับ