หน้าแรก > อาชญากรรม

แม่ยกมือไหว้น้ำตา หลังถูกสาวตีสนิท ออกอุบายรู้จักนักการเมืองหลอกกินเงินประกันตัวลูกชาย

วันที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 01:19


แม่ยกมือไหว้น้ำตา หลังถูกสาวตีสนิท ออกอุบายรู้จักนักการเมืองหลอกกินเงินประกันตัวลูกชาย

เมื่อวันที่ 19 ก.ย.67  นายวิชชุพันธ์ จิตต์ภักดี หรือทนายตั้ม พร้อมด้วย น.ส.บุญตา อายุ 45 ปี ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดกระบี่ เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่าได้ถูกผู้หญิงชื่อ น.ส.รุ้ง ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งอ้างตัวว่ามีเส้นสายมาหลอกตนว่าสามารถช่วยเหลือวิ่งเต้นเรื่องการประกันตัวลูกชายได้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มกราคม 67 ที่ผ่านมา นายเทพพันธ์ อายุ 19 ปี ลูกชายของตน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) จับกุมตัวขณะอยู่บ้านแฟนสาวใน จ. สุราษฎร์ธานี ในข้อหาเปิดบัญชีม้า จากนั้นจึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวมาดำเนินคดีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และส่งฝากขังยังศาลอาญารัชดา

น.ส.บุญตา ผู้เป็นแม่กล่าวว่า จากการสอบถามลูกชายก็บอกกับตนว่า เขาถูกคนร้ายหลอกให้ไปเปิดบัญชีระหว่างที่หางานทำในร้านอาหารที่จังหวัดภูเก็ต โดยคนร้ายได้หลอกให้ไปเปิดบัญชีกับธนาคารใหม่เพื่อจะจ่ายเงินค่าจ้างผ่านบัญชีนี้ แต่สุดท้ายกลับถูกหลอกไม่ได้งานในร้านอาหารและยังกลายมาเป็นผู้ต้องหาอีก

ต่อมาช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ได้มี น.ส.รุ้ง ไม่ทราบนามสกุล อายุ 35 ปี มาตีสนิทพร้อมกับอ้างตัวว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่และนักการเมืองนามสกุลดัง สามารถช่วยเหลือให้ลูกชายตนได้ประกันตัว รวมทั้งยังสามารถช่วยให้ตำรวจ สอท.ทำเรื่องให้คดีเบาลง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อนำเงินไปให้ผู้ใหญ่เป็นเงิน 1 แสนบาท และตำรวจ สอท.จำนวน 25,000 บาท รวมเป็น 125,000 บาท ด้วยความอยากจะประกันตัวลูกชายออกมา ตนจึงได้ไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อหาเงินมาช่วยประกันตัวลูกชาย ทั้งกู้ดอกร้อยละ 10 ถึง 20 จนสามารถรวบรวมเงินได้มา 98,000 บาท จึงรีบนำไปให้ น.ส.รุ้ง ก่อน เป็นการช่วยเหลือประกันตัวลูกชาย แต่หลังจากจจ่ายเงินให้ไปแล้วนั้นในเดือนกรกฎาคม ตนกับ น.ส.รุ้ง จึงได้ไปที่ศาลอาญา รัชดา เพื่อทำเรื่องขอประกันตัวลูกชาย แต่กลับไม่สามารถประกันตัวลูกชายได้ โดยทางศาลแจ้งว่าพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว ตนจึงเริ่มเกิดความสงสัยและสอบถามน.ส.รุ้ง ว่าทำไมถึงประกันตัวไม่ได้ก็ถูก น.ส.รุ้งบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา

น.ส.บุญตา กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นตนจึงได้ขอทวงเงินที่ใช้วิ่งเต้นคืนจาก น.ส.รุ้งมาโดยตลอด แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงที่จะคืนเงินให้ และบอกย้ำกับตนอีกว่าให้ตนเชื่อมั่นเรื่องการประกันตัวที่กำลังวิ่งเต้นอยู่ หลังจากนั้น น.ส.รุ้ง ก็เริ่มเงียบหายไป จนตนต้องเป็นฝ่ายโทรสอบถามเป็นระยะ แต่จนถึงวันนี้ลูกขายตนก็ไม่ได้รับการประกันตัวตามที่ น.ส.รุ้งกล่าวอ้าง

น.ส.บุญตา กล่าวว่า ก่อนที่ตนจะถูก น.ส.รุ้งมาหลอกเอาเงินวิ่งเต้นประกันตัวลูกชายไป ตนยังเคยถูกทนายความรายหนึ่งหลอกเอาเงินมาแล้วเช่นกัน โดยทนายคนดังกล่าวอ้างว่าจะสามารถช่วยเหลือประกันตัวลูกชายได้ โดยตนจ่ายเงินไปจำนวน 10,000 บาท จนกระทั่งตนเดินทางไปเยี่ยมลูก และสอบถามลูกชายว่ามีทนายมาพูดคุยเรื่องประกันตัวหรือไม่ ลูกชายบอกว่าไม่เคยมีทนายมาคุยเลย ถึงได้รู้ว่าถูกหลอกเป็นครั้งแรก

น.ส.บุญตา กล่าวทั้งน้ำตา ว่า ชีวิตตนไม่ได้มีรายได้อะไรมาก แค่ทำงานรับจ้างได้ค่าแรงวันละ 150 บาท ส่วนสามีก็ป่วยเป็นโรคหัวใจตีบ เคยผ่าตัดไปแล้ว 2 ครั้ง ยังเหลือผ่าตัดอีก 1 ครั้ง ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ทุกวันนี้ตนต้องช้ำใจมากลูกก็ต้องมาติดคุกและยังถูกคนพวกนี้มาซ้ำเติมอีก ตอนนี้ตนอยากขอวิงวอนให้ น.ส.รุ้ง เห็นใจนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคืนให้ตนด้วย เพราะตนมีภาระหนี้สินที่ไปกู้ยืมเขามาด้วย

ด้านนายวิชชุพันธ์ ทนายความ กล่าวว่า พฤติกรรมการหลอกลวงของหญิงคนดังกล่าวมีลักษณะการแอบอ้างผู้ใหญ่ โดยมีการนำชื่อผู้ใหญ่ไปแอบอ้างรวมทั้งชื่อของตนด้วย โดยที่ตนไม่เคยรู้เรื่องเลย ตนมาทราบเรื่องเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่น.ส.บุญตาเดินทางไปเรือนจำแล้วได้มีการพูดคุยกัน จึงทราบว่ามีการจ่ายเงินจำนวน 98,000 บาท ให้ไปเพราะเชื่อว่าชื่อของผู้ใหญ่ที่ถูกแอบอ้างมาจะช่วยเหลือได้จริง ตนมาเอะใจในกรณีนี้ถ้าเป็นคดีสีเทาจริงๆ ก็จะต้องวิ่งทำเรื่องขอประกันตัวในชั้นตำรวจหรือชั้นอัยการเท่านั้น แต่เขากลับอ้างในชั้นศาลแทน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะถ้าเรื่องถึงศาลแล้วจะไม่มีใครสามารถจะไปวิ่งเต้นได้ ตอนนี้ตนก็ได้รวบรวมหลักฐานมาครบแล้ว และทราบว่าเขาไปไลฟ์สดในติ๊กต๊อกด้วยการยอมรับผิดจริง และจะคืนเงินให้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีติดต่อพูดคุยเพื่อจะนำมาคืนเลย

ทนายความ กล่าวอีกว่า สำหรับพฤติกรรมของคนชื่อรุ้ง ตอนนี้ยังมีการเปิดรับบริจาคอ้างว่าจะนำเงินมาช่วยเหลือ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่เห็นนำเงินมาคืนให้ นอกจากนี้เขายังไปเปิดรับบริจาคพร้อมกับอ้างว่าจะนำเงินไปเป็นทุนสนับสนุนให้กับคนที่ร้องเรียนพรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้าม อ้างว่าเป็นในส่วนของภาคประชาชน มีคนหลงเชื่อโอนเงินให้ ตนได้ไปตรวจสอบทั้งเงินบริจาคและสเตทเม้นท์ ปรากฏว่ายอดเงินสเตทเม้นท์มีพิรุจ และมีการนำเงินไปใช้ส่วนตัว ตอนนี้ก็ยังมีการรับบริจาคอยู่ ตรงนี้อาจจะเข้าข่ายผิดพรบ.เรี่ยไรและเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน นำเงินไปใช้จ่ายผิดวัตถุประสงค์ ส่วนเรื่องการแจ้งความดำเนินคดีนั้นตนได้ปรึกษากับ น.ส.บุญตาแล้วว่าไม่ให้แจ้งความ เพราะเกรงว่าอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและล่าช้าเนื่องจากเขาเป็นคนที่รู้จักผู้ใหญ่ในจังหวัด และเป็นผู้มีอิทธิพล ตนจึงได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อจะฟ้องตรงต่อศาลด้วยอำนาจของทนายความฝ่ายผู้ร้องแทน

พิรฎา  

 

 

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม