หน้าแรก > อาชญากรรม

ปอท.ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ-น้ำมัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16,000 ล้านบาท

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2024 เวลา 02:29 น.


ปอท.ทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ-น้ำมัน พบเงินหมุนเวียนกว่า 16,000 ล้านบาท

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) โดย พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กก.2 บก.ปอท. ร่วมด้วย บก.ป., บก.ทล., บก.ปคบ., บก.รน. ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา ประกอบด้วย นายภัทร อายุ 22 ปี , นายยา อายุ 23 ปี , นายวัฒน์ อายุ 30 ปี , นายนัย อายุ 53 ปี , นายเจน อายุ 31 ปี , น.ส.จิรา อายุ 20 ปี และ นายธง อายุ 28 ปี 

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ และร่วมกันฟอกเงิน”

สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2566 มีผู้เสียหายได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. กรณีมีกลุ่มคนร้ายได้สร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา โดยนำภาพของบุคคลอื่นที่มีฐานะดีและมีความน่าเชื่อถือ ทักแชทมาพูดคุยกับผู้เสียหาย จากนั้นได้มีการพูดคุยเพื่อสร้างความสนิทสนม และขอไอดีไลน์ของผู้เสียหายเพื่อแชทพูดคุยต่อระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้เสียหายเริ่มไว้วางใจ คนร้ายจึงได้ชักชวนลงทุนเทรดหุ้นทองคำและหุ้นน้ำมัน ผ่านแอปพลิเคชันชื่อ “AVATRADE” (ซึ่งภายหลังจากตรวจสอบพบว่าเป็นแอปพลิเคชันที่ปลอมขึ้นมาเพื่อเลียนแบบแอปพลิเคชันที่มีอยู่จริง) ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปลงทุน โดยในช่วงแรกได้ผลตอบแทนจริงตามคำกล่าวอ้าง สามารถทำรายการเบิกถอนเงินได้ปกติ จนกระทั่งผู้เสียหายเริ่มลงทุนในจำนวนมากขึ้นและต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ โดยคนร้ายอ้างว่ายอดเงินของผู้เสียหายมีจำนวนมาก จะต้องมีการชำระภาษีก่อนถึงจะทำรายการถอนเงินได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมจากระบบ รับแจ้งความออนไลน์ พบมีผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้ทำการลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน AVATRADE ทั้งหมด จำนวน 23 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 14 ล้านบาท จากการสืบสวนเส้นทางการเงิน พบว่ากลุ่มคนร้ายได้ใช้บัญชีธนาคารม้าในการรับโอนเงินของผู้เสียหาย และมีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปยังบัญชีธนาคารบัญชีม้าอื่นๆ อีกหลายทอด จากนั้นได้ทำการแปลงสภาพเงินได้จากการหลอกลวงให้กลายเป็นเงินดิจิทัลสกุล USDT ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน
เหรียญดิจิทัล จากนั้นเงินดิจิทัลจะถูกโอนต่อไปอีกหลายทอดไปยังกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง

โดยพบว่ากลุ่มคนร้ายเป็นขบวนการที่มีฐานปฏิบัติอยู่ที่ สปป.ลาว มีการแยกหน้าที่กันทำชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับกลุ่มผู้ต้องหา จำนวน 18 ราย ดังนี้

1. กลุ่มบัญชีม้า (คนไทย) จำนวน 8 ราย
2. กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน จำนวน 5 ราย (คนไทย 2 ราย, มาเลเซีย 1 ราย และจีน 2 ราย)
3. กลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน (คนจีน) จำนวน 5 ราย
ต่อมาเมื่อวันที่ 30-31 มกราคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย บก.ป., บก.ปคบ., บก.รน. และ บก.ทล. บูรณาการกำลังร่วมกันตรวจค้นจับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว จำนวนทั้งสิ้น 10 จุด โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 2 จุด, ภูเก็ต 6 จุด, เชียงราย 1 จุด และหนองบัวลำภู 1 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 7 ราย (กลุ่มบัญชีม้า 5 ราย, กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน 2 ราย)

สามารถตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวนหลายรายการ อาทิเช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (PC) จำนวน 10 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 2 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 53 เครื่อง (ผูกแอปพลิเคชันธนาคารพร้อมใช้งาน จำนวน 42 เครื่อง), เครื่องใหม่ จำนวน 11 เครื่อง), สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 1,113 เล่ม, บัตรกดเงินสด (ATM) จำนวน 1,065 ใบ และกล่องโทรศัพท์เปล่า จำนวน 77 กล่อง อีกทั้งยังได้ตรวจยึดทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนหลายรายการ

ในส่วนผู้ต้องหาชาวจีนและมาเลเซีย ที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 9 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างประสานงานติดตามจับกุมตัว โดยรายที่ 1-5 เป็นกลุ่มผู้สั่งการหรือนายทุน ส่วนรายที่ 6-9 เป็นกลุ่มจัดหาบัญชีม้าและฟอกเงิน ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ห้วงพฤษภาคม 2565 ถึงปัจจุบัน กลุ่มคนร้ายมีการรับเงินดิจิทัลสกุล USDT ประมาณ 230 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทย มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท และมียอดเงินหมุนเวียน กว่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทำความผิด

สอบถามเบื้องต้นผู้ต้องหาแต่ละรายให้การภาคเสธ โดย นายยา ให้การยอมรับว่า ตนเองได้ร่วมกับนายภัทร ในการจัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโตม้า โดย นายภัทร จะได้รับการว่าจ้างจาก นายทุนชาวมาเลเซีย และ MR. TIAH (เตี๊ยะ) สัญชาติมาเลเซีย ให้จัดหาบัญชีธนาคารและบัญชีเทรดคริปโตม้า จากนั้นนายภัทร จะสั่งการให้นายยา ไปจัดหาคนเปิดบัญชีธนาคารม้า พร้อมทั้งเปิดบัญชีเทรดคริปโตม้า โดยมีการผูกแอปพลิเคชันธนาคารและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลไว้ในโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะพร้อมใช้งาน จากนั้นจะส่งโทรศัพท์มือกล่าวกล่าวไปยัง ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อส่งต่อไปยังฐานปฏิบัติการของกลุ่มคนร้ายในประเทศ สปป.ลาว โดยนายทุนชาวมาเลเซียจะจ่ายค่าจ้างเป็นเงินบาท และเงินดิจิทัลสกุล USDT คิดเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท ต่อบัญชีม้าหนึ่งบัญชี

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายภัทร ได้ให้ลูกน้องจดทะเบียนบริษัท และเช่าบ้านแห่งหนึ่งย่านเขตบางชัน กรุงเทพมหานคร เป็นออฟฟิศ เพื่อใช้ในการฟอกเงินที่ได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุนชาวมาเลเซีย และเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม พบว่า เดือน กรกฎาคม พ.ศ.2564 ถึง สิงหาคม พ.ศ.2566 มีรายได้จากการจัดหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มนายทุน มากกว่า 28 ล้านบาท  อีกทั้งยังพบว่า นายภัทร เคยสั่งให้ นายยา ส่งโทรศัพท์มือถือ (บัญชีม้า) ไปยังสถานที่ต่างๆ จำนวนมาก มีทั้งในและต่างประเทศ ต่างประเทศ จากนั้นจะมีการลักลอบลำเลียงบัญชีม้าออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้กลุ่มคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มการพนันออนไลน์ที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านใช้ในการกระทำความผิด

ข่าวยอดนิยม