หน้าแรก > อาชญากรรม

น้องชายร้องสื่อ! พี่สาวถูก 2 ผู้ต้องหาตีสนิท อ้างเคลียร์เรื่องรถหรูลัมโบร์กีนี เรียกเงิน 3 ล้านค่าดำเนินการ

วันที่ 5 กันยายน 2023 เวลา 10:30 น.


วันที่ 5 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายฐิติพัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่ย่านอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรีว่า พี่สาวคือนางอสราภรณ์ หรือ เปิ้ล ( สงวนนามสกุล ) อายุ 54 ปี นักธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าย่านประตูน้ำ ถูกชาย และหญิงสองคนที่เข้ามาตีสนิทโดยอ้างว่า สามารถดำเนินการจัดการเรื่องเอกสารครอบครองรถหรูราคาแพง ลัมโบร์กีนี ราคา 27 ล้านบาท ที่ลูกหนี้รายหนึ่งยินยอมชดใช้ชำระหนี้มาให้กับพี่สาวตน แต่สุดท้ายเจ้าหนี้รายดังกล่าวได้เสียชีวิตลง ทำให้เอกสารที่เซ็นต์ยินยอมยกรถหรูเพื่อใช้หนี้พี่สาวตน ถูกผู้จัดการมรดกซึ่งคือแม่ของลูกหนี้ที่เสียชีวิต ปฎิเสธที่จะเซ็นต์เอกสารมอบรถเพื่อใช้หนี้ให้ ทำให้ต่อมาพี่สาวตนเองเครียดเรื่องเอกสารครอบครองรถหรูคันดังกล่าว ซึ่งต้องการนำไปขายเพื่อนำเงินมาใช้พยุงกิจการในครอบครัว ซึ่งหากไม่มีเอกสารเซ็นต์ยินยอมมอบรถหรูคันดังกล่าวมาให้ ก็จะไม่สามารถนำรถหรูคันดังกล่าวไปขายต่อได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นรถป้ายแดงและตัวรถอยู่ในความครอบครองของพี่สาวตน

นายฐิติพัฒน์ น้องชายผู้เสียหายเปิดเผยอีกว่า ต่อมาในระหว่างที่พี่สาวตนกลุ้มใจเรื่องดังกล่าวอยู่ เพื่อนของตนได้แนะนำให้รู้จักกับชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งอ้างตัวว่า มีเส้นสายรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายหน่วยงาน ทั้งผู้พิพากษาศาล อธิบดีอัยการ ตำรวจไซเบอร์ และตำรวจในพื้นที่ โดยอาสารับงานเคลียร์เรื่องเอกสาร การส่งมอบกรรมสิทธิ์รถหรูให้กับพี่สาวตนได้ภายใน 7 วัน แต่ต้องเสียค่าดำเนินการเป็นเงินจำนวน 3 ล้านบาท โดยชายหญิงคู่ดังกล่าวอ้างว่าเป็นเงินที่ต้องนำไปเคลียร์ให้กับผู้ใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวก

นายฐิติพัฒน์ เปิดเผยอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนกับพี่สาวได้ตัดสินใจเดินทางไปพบกับชายหญิงทั้งสองคน ที่บ้านพักย่านเขตประเวศ กรุงเทพ ซึ่งก็พบว่าเป็นบ้านพักหลังใหญ่ในโครงการหรู และยังมีรถเบนซ์ป้ายแดงจอดอยู่ในบ้านพัก เมื่อตนกับพี่สาวเข้าบ้านไปพูดคุยเรื่องเอกสารดังกล่าว ทางชายหญิงทั้งสองคน ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือนายทศธน และ น.ส.พัทธ์ธีรา ยังได้แอบอ้างตัวอีกว่าเป็นนักธุรกิจ ที่มีกิจการหลายอย่าง พร้อมกับโทรศัพท์หาผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้วพูดเสียงดังต่อหน้าว่า สามารถเคลียร์เรื่องเอกสารการครอบครองรถให้ได้ แต่มีค่าใช้จ่ายเป็น 3 ล้านบาท ทำให้ตนกับพี่สาวหลงเชื่อ นัดโอนเงินให้ชายหญิงทั้งสองคนในวันที่ 14 ก.ค. โดยพี่สาวตนได้โอนเงินเข้าบัญชีนายทศธน ไปเป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท จากนั้นต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ค. พี่สาวตนได้โอนเงินเข้าไปให้อีกจำนวน 1 ล้านบาท รวมเป็น 2 ล้านบาท ซึ่งในตอนนั้นตนเห็นว่าพี่สาวได้โอนเงินให้ไปมากแล้ว จึงได้โทรพูดคุยกับชายหญิงทั้สองคนว่า ให้ดำเนินการเรื่องเอกสารครอบครองรถลัมโบร์กีนี ให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งเมื่อจัดการเรื่องเอกสารให้เสร็จจนสามารถขายรถได้แล้ว ตนกับพี่สาวจะจ่ายเงินค่าวิ่งเต้นเอกสารที่เหลืออีก 1 ล้านบาทให้ แต่กลับถูกชายหญิงคู่ดังกล่าว แอบโทรศัพท์ไปกดดันพี่สาวตนให้โอนเงินอีก 1 ล้านบาทไปให้โดยอ้างว่าต้องนำไปเคลียร์หน้าเสื่อกับผู้ใหญ่ที่วิ่งเต้นให้จบ ทำให้พี่สาวตนแอบไปกู้เงินแล้วโอนเงินอีก 1 ล้านบาทไปให้ชายหญิงคู่ดังกล่าวโดยที่ไม่ได้ปรึกษากับตน

นายฐิติพัฒน์ เปิดเผยอีกว่า หลังครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 27 ก.ค.แล้ว  ทางฝ่ายหญิงคู่กรณีได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า ขอยกเลิกงานวิ่งเต้นเคลียร์เอกสารดังกล่าวให้ และพร้อมจะคืนเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับพี่สาวตน จนสุดท้ายก็ไม่มีการคืนเงินจำนวนดังกล่าวมาให้พี่สาวตน ทำให้ตนรู้สึกผิดที่ทำให้พี่สาวต้องมาสูญเสียเงินจำนวนดังกล่าวไปอีก ทั้งๆที่พี่สาวตนไม่รู้จักกับชายหญิงทั้งสองคนมาก่อน แต่ตนเป็นฝ่ายที่นำไปให้พี่สาวรู้จักจนหลงเชื่อ หลงโอนเงินเป็นจพนวน 3 ล้านบาท ทำให้ตนรู้สึกผิดกับพี่สาวเป็นอย่างมาก

นายฐิติพัฒน์ เปิดเผยอีกว่า หลังจากที่พี่สาวตนหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวน 3 ล้านบาทแล้ว ในวันที่ 21 ส.ค.ตนกับพี่สาวจึงได้เดินทางไปเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.บางนา เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าจากพฤติกรรมของบุคคลทั้งสองน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆ ตามอีกเช่นกัน โดยในวันพรุ่งนี้ทางพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ออกหมายเรียกให้บุคคลทั้งสองเดินทางมาพบเพื่อสอบปากคำเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าวยอดนิยม