หน้าแรก > สังคม

ตร. คุมเข้มจราจรทั่วประเทศ ชี้ยอดตายบนถนนกว่า 1 หมื่นราย สั่งเข้มเมาแล้วขับ–ไม่สวมหมวกนิรภัย สำรวจจุดเสี่ยงทั่วประเทศ

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 เวลา 17:27 น.


รอง ผบ.ตร. คุมเข้มจราจรทั่วประเทศ ชี้ยอดตายบนถนนกว่า 1 หมื่นราย “มากกว่าสงคราม” สั่งเข้มเมาแล้วขับ–ไม่สวมหมวกนิรภัย เพิ่มจุดเข้มงวดอุบัติเหตุ นำ AI บริหารไฟจราจร แก้รถติดในเมืองใหญ่ พร้อมสั่งทุกโรงพักสำรวจสาเหตุอุบัติเหตุ รื้อจุดเสี่ยงทั่วประเทศ หวังลดมลภาวะ เพิ่มความปลอดภัย

วันนี้ (19 พ.ย.68) พลตำรวจเอกสำราญ นวลมา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมบริหารจราจรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า ที่ประชุมให้ความสำคัญประเด็นหลักๆ เช่น​ การเพิ่มความคล่องตัวของการจราจร การลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน​ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่หลายแห่งมีรถหนาแน่นเกินศักยภาพถนน จึงต้องออกแบบแก้ไขร่วมกันทั้งตำรวจ–หน่วยงานวิศวกรรม เพื่อกำหนดมาตรการให้การจราจรเคลื่อนตัวได้ต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างวินัยจราจรให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่​ 2569​

พลตำรวจเอกสำราญ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.–17 พ.ย. 68 พบอุบัติเหตุเสียชีวิตบนท้องถนนกว่า 10,847 ราย ตัวเองยังได้พูดคุยกับตำรวจด้วยกันว่าผู้เสียชีวิตยังมากกว่าสงครามอีก โดยเฉพาะช่วง 3 วันที่ผ่านมา มีเยาวชนเสียชีวิตจากการขับรถจักรยานยนต์และรถยนต์จำนวนมาก สะท้อนปัญหาการไม่สวมหมวกนิรภัย​ ประชาชนมองว่าตำรวจจับปรับ แต่แท้จริงตำรวจต้องการลดการเสียชีวิต​ พร้อมระบุเพิ่มว่า จะเพิ่มความเข้มงวดในจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย ตรวจเข้มเมาแล้วขับ พร้อมสั่งกำชับตำรวจทุกนายต้องเป็นตัวอย่าง หากพบกระทำผิดจะถูกดำเนินคดีทันที​ หรือกรณีรถตำรวจฝ่าสัญญาณไฟแดง เพื่อภารกิจฉุกเฉิน เช่น ไล่จับคนร้าย การตั้งด่านก็จะทำให้สามารถชี้แจงต่อประชาชนให้เข้าใจได้​

พลตำรวจเอกสำราญ​ กล่าวว่า ในการประชุมยังได้หารือและกำชับให้ทุกโรงพักสำรวจตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจาก สภาพถนนพฤติกรรมผู้ขับขี่ หรือทัศนวิสัย ก่อนนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อรับมือช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมาตรการที่จะทำอย่างเป็นรูปธรรม​ คือการ กวดขันวินัยจราจรแบบมีเหตุผล ชี้แจงประชาชนให้เข้าใจว่าการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อความปลอดภัยตนเองและครอบครัว​ สำรวจจุดเสี่ยงทุกระดับ แม้ไม่มีผู้เสียชีวิต เพื่อปรับปรุงและลดมลภาวะจากรถติด​ นอกจากนี้ที่ประชุมได้นำทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มาร่วมประชุมวางแผน โดยปัจจุบัน กทม. มีการติดตั้งระบบ AI บริหารไฟจราจรในประมาณ 20 จุด และเตรียมขยายให้ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อแก้รถติดอย่างยั่งยืน

พร้อมทิ้งท้ายว่า​ ปัจจุบันมีสำนวนคดีใบสั่งค้างชำระกว่า 12,000 คดี ส่งฟ้องแล้ว 768 คดี พร้อมเตือนประชาชนอย่านิ่งนอนใจ ควรชำระค่าปรับตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม

“ไม่ต้องการให้ทำผิดกฎจราจร แต่หากทำผิดกฎจราจรจะต้องว่ากล่าวตักเตือน เมื่อว่ากล่าวตักเตือนแล้วยังทำซ้ำก็ต้องออกใบสั่ง เมื่อออกใบสั่งแล้วไม่ชำระก็ต้องฟ้องศาล อยากสื่อไปถึงประชาชนว่าอย่าทำผิดกฎจราจร เรื่องการจราจรคือทำให้รถเคลื่อนที่ได้ไวขึ้น ลดการตายให้น้อยลง และลดมลภาวะ แต่จะทำอย่างไรให้เกิดมาจากจิตภายในของประชาชน สื่อจะมาบอกว่ามันซ้ำๆ กัน แต่ยังแก้สำนึกภายในไม่ได้ วันนี้บอกว่าเมาไม่ขับเพราะว่ากลัวตำรวจจับ อย่างนี้แก้ไม่ได้ แต่หากเราเมาแล้ว เรากลัวอุบัติเหตุที่จะเกิดกับคนอื่นก็ต้องขอขอบคุณมาก” พลตำรวจเอกสำราญ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม