วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.00 น. นาวาอากาศเอก สิริบูลย์ ดิษฐแย้ม จากกรมข่าวทหาร ได้นำคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว หลังเกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กเข้ามาฝั่งไทย เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมี พลจัตวา ซัมซุล ริซาล มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย เป็นหัวหน้าคณะ AOT พร้อมด้วยผู้แทน จากประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมลงพื้นที่ เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงตามกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงของอาเซียน

ขณะที่ พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 กองกําลังบูรพา ได้นำคณะ AOT ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ จุดแรกบริเวณแนวต้นไม้ด้านหน้าบังเกอร์ ซึ่งพบร่องรอยกระสุนหลายจุดที่ยิงถากต้นไม้ ก่อนทะลุมายังบังเกอร์ที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด พร้อมใช้อุปกรณ์เลเซอร์ยิงจำลองเส้นทางวิถีกระสุน โดยใช้อุปกรณ์ เลเซอร์ ในการทดลองให้เห็นแนววิถีกระสุน ซึ่งจุดนี้พบรอยถากของกระสุนทั้งหมด 8 รอย โดยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เก็บกระสุนทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน

ด้าน พันเอก ชัยณรงค์ อธิบายว่า ทิศทางการยิงของทหารกัมพูชาอยู่แนวต้นไม้ฝั่งตรงข้ามบังเกอร์ ดังนั้นทิศทางที่ทหารไทยยิงโต้กลับไป คือ แนวป่า ไม่มีหมู่บ้านประชาชน ทำให้สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่า ฝั่งไทยยิงใส่ประชาชน จึงไม่เป็นความจริง

ทั้งนี้ พลจัตวา ซัมซุล ริซาล มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย ได้นำกระสุนดังกล่าวมาแสดงต่อสื่อมวลชนและให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นรอยกระสุนดังกล่าวเป็นร่องรอยใหม่ แต่ยังไม่ขอระบุรายละเอียดชนิดกระสุนว่าเป็นประเภทใด รวมถึงระยะแนววิถีกระสุน โดยย้ำว่าข้อมูลทั้งหมดจำเป็นต้องรอการวิเคราะห์อย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานของไทย

ส่วนการลงพื้นที่ในวันนี้ คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับข้อมูลและเห็นสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะถูกรายงานต่อกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย เพื่อประกอบการพิจารณาตามกลไกการประสานงานด้านความมั่นคงของอาเซียน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การยิงจากฝั่งกัมพูชาครั้งนี้เป็นการยิงหวังผลถึงชีวิตเจ้าหน้าที่ไทยหรือไม่ ซึ่งพลจัตวา ซัมซุล ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น โดยระบุเพียงว่ายังไม่สามารถให้ความคิดเห็นในประเด็นนี้ได้

ขณะที่ฝ่ายไทย ยืนยันว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดจะดำเนินไปตามขั้นตอนของฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน เพื่อความโปร่งใส ส่วนบทบาทของ AOT จะเป็นการบันทึกสถานการณ์และรายงานไปยังประเทศสมาชิกที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถหารือและคลี่คลายสถานการณ์ในระดับทวิภาคีและภูมิภาค