วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เวลา 04:10 น.
รอง นรม. และ รมว. คลัง ให้การต้อนรับ คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ – อาเซียน ย้ำ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย พร้อมชู 5 เสาหลัก ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจ “Quick Big Win” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและทั่วถึง
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมาย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้การต้อนรับ นาย Ted Osius รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา - อาเซียน (U.S. - ASEAN Business Council: USABC) และคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ - อาเซียน ในโอกาสเยือนประเทศไทย โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และนายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (The Honorable Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าร่วมด้วย
ทั้งนี้ คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ - อาเซียน ประกอบด้วยผู้แทนบริษัทเอกชนสหรัฐฯ รวม 39 บริษัท จาก 9 ภาคธุรกิจ ได้แก่ 1. ภาคพลังงานและปิโตรเคมี เช่น Chevron, ConocoPhillips และ Cheniere Energy 2. ภาคสาธารณสุข เช่น Abbott, Bayer และ GlaxoSmithKline (GSK) 3. ภาคเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Amazon, Apple, Google และ Microsoft 4. ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น Airbnb, Netflix และ Marriott International 5. ภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น Cargill, Diageo Moet Hennesy และ Lubrizol 6. ภาคสินค้าอุปโภค บริโภค และผลิตภัณฑ์ความงาม เช่น 3M, Guardian Glass และ SC Johnson 7. ภาคคมนาคมและการขนส่ง เช่น Boeing, FedEx และ Ford 8. ภาคธุรกิจที่ปรึกษาและกฎหมาย เช่น Vriens & Partners, The Asia Group และ BowerGroupAsia และ 9. ภาคการเงินและประกันภัย เช่น American Express, Mastercard และ VISA
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีที่ได้พบหารือร่วมกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยมาอย่างยาวนาน โดยการหารือในวันนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของภาคธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายการลงทุนและพัฒนาความร่วมมือในสาขาที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสองประเทศ
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวในนามรัฐบาลและประชาชนชาวอเมริกัน รวมถึงในนามสภาธุรกิจสหรัฐฯ – อาเซียน ขอแสดงความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมกล่าวขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับและสละเวลามาพบหารือกับคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ – อาเซียน ซึ่งเข้าร่วมมากถึง 39 บริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย รวมถึงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนและการค้าของไทย โดยการลงทุนของภาคเอกชนสหรัฐฯ มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยสนับสนุนการค้าและสร้างงานให้กับชาวไทยจำนวนมาก นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 190 ปี พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความร่วมมือและความมั่งคั่งร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งการเยือนในวันนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างกัน
นาย Ted Osius ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมแสดงความยินดีต่อการประกาศแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (The Joint Statement on Framework for United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญ ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นเชิงรุกของไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยภาคเอกชนสหรัฐฯ พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และยืนยันว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักของภาคเอกชนสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย และเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์และนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจผ่านนโยบาย “Quick Big Win” โดย Quick คือ รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน Big คือ ต้องใหญ่พอสำหรับเศรษฐกิจไทย และ Win คือ ต้องให้เกิดการกระจายตัว โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นควบคู่กับการวางรากฐานเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว ภายใต้แนวนโยบาย 5 เสาหลัก ได้แก่
1. การฟื้นเศรษฐกิจ ผ่านการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และส่งเสริมกำลังซื้อระดับฐานราก โดยเน้นสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยและผู้ประกอบการขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ต่อยอดไปยังภาคธุรกิจขนาดใหญ่ และในระยะยาวจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI เป็นต้น
2. การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยรัฐบาลมีแผนจะร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อแยกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของผู้ประกอบการรายย่อยและครัวเรือนออกจากงบดุลของธนาคาร นำไปบริหารจัดการแยกต่างหาก พร้อมให้ความรู้ทางการเงินแก่ลูกหนี้ เพื่อให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกครั้งอย่างมีวินัย
3. การส่งเสริมการออมระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสังคมสูงวัย โดยรัฐบาลมีแนวคิดจัดตั้งกองทุนออมจากกำไรของสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อสร้างเงินออมสำหรับประชาชน รวมถึงแผนจัดตั้งบัญชีออมทรัพย์ที่มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ออมและลงทุนในหลักทรัพย์ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
4. การพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการออกมาตรการเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและสนับสนุนการปรับโครงสร้างธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถแข่งขันได้ และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ตลาดใหม่ เช่น ธุรกิจสีเขียว (Green Business) ธุรกิจดิจิทัล และ AI เพื่อให้ SMEs กลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจไทย
5. การส่งเสริมการลงทุนระยะยาว โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ผ่านระบบ “Fast Pass” เพื่อเร่งรัดกระบวนการอนุมัติการลงทุน และลดขั้นตอนทางราชการ (Red Tape) พร้อมทั้งมีแผนปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน
อย่างไรก็ดี พื้นฐานสำคัญของ 5 เสาหลักนี้ คือ การรักษาวินัยทางการคลัง เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งเพียง 4 เดือน แต่สามารถดำเนินนโยบายได้อย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน และยังคงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและทั่วถึง โดยเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนและนักลงทุน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของไทย
ในการหารือครั้งนี้ ผู้แทนบริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในไทย โดยผู้แทนด้านการขนส่งและห่วงโซ่อุปทาน ย้ำความมุ่งมั่นที่จะผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ภายใต้แนวคิด “Multi-Energy Platform” ที่พัฒนาเครื่องยนต์สันดาปและยานยนต์ไฟฟ้าควบคู่กัน พร้อมเสนอให้มีมาตรการจูงใจทางภาษีและกฎระเบียบที่ทันสมัย เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศยานยนต์ครบวงจรและการส่งออก
ผู้แทนด้านอาหารและการเกษตร พร้อมสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย ผ่านการเชื่อมโยงเกษตรกรไทยสู่ตลาดโลก และการสร้างงานในห่วงโซ่อุปทาน และพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการบริหารต้นทุนการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ยกระดับประสิทธิภาพเกษตรกรไทยด้วยเทคโนโลยี การส่งออกสู่ตลาดใหม่ และร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายความยั่งยืนทางคาร์บอน ตลอดจนกล่าวชื่นชมบทบาทของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังที่ส่งเสริมการค้าผ่านข้อตกลง FTA โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และความมั่นคงของเกษตร
ผู้แทนด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม ย้ำการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยผ่านการลงทุนและความร่วมมือกับภาครัฐตลอดระยะเวลา 30 ปี ครอบคลุมด้านทักษะดิจิทัล AI ศูนย์ข้อมูล E-commerce คลาวด์ (Cloud) และความมั่นคงทางไซเบอร์ รวมถึงยืนยันความพร้อมในการผลักดันไทยสู่อนาคตดิจิทัลอย่างยั่งยืน
ผู้แทนด้านอุตสาหกรรมการผลิตและพลังงาน ย้ำความมุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาว การสร้างงาน และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยพร้อมพิจารณาขยายการลงทุนในไทยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมร่วมกับภาคอุตสาหกรรมไทย พร้อมยืนยันความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยในการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมขีดความสามารถทางการแข่งขัน และผลักดันไทยสู่บทบาทผู้นำด้านพลังงานระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน
ผู้แทนด้านการท่องเที่ยวและบริการ ชื่นชมมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ช่วยกระจายรายได้สู่เมืองรองและการสนับสนุน SMEs เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ตลอดจนพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานในไทยที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการใช้ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ควบคู่ไปกับการยกระดับการป้องกันการฉ้อโกงทางดิจิทัล
ผู้แทนด้านสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวถึงความร่วมมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยให้สอดรับกับการก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์” ภายในปี ค.ศ. 2029 พร้อมชื่นชมความแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขของไทย ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความครอบคลุมของหลักประกันสุขภาพ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน
ผู้แทนด้านสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวถึงความสำคัญของกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะเกษตรกรสวนยางพารา พร้อมยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวถึงข้อเสนอจากภาคธุรกิจสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เพื่อให้ไทยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การค้าโลก ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีผลใช้บังคับแล้วจำนวน 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และกำลังเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่ดี และสหภาพยุโรป (EU) เพื่อให้ไทยสามารถรักษาความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก นอกจากนี้ รัฐบาลยังวางแผนจัด Trade Mission เจรจาการค้าในต่างประเทศ และจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเปิดตลาดใหม่ ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชน เพื่อเสริมสร้างการลงทุนและการค้าอย่างยั่งยืน และมุ่งสร้างผลลัพธ์แบบ win–win ให้ทั้งสองฝ่าย
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีต่อการหารือร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในวันนี้ พร้อมขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่นและแนวคิดที่สร้างสรรค์เกี่ยวกับโอกาสความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต โดยยืนยันว่า รัฐบาลจะนำความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนสหรัฐฯ มาพิจารณาในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ต่อไป ตลอดจนย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะสนับสนุนการดำเนินงานที่ใกล้ชิดกับ USABC เพื่อประสานความร่วมมือให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

7 ธันวาคม 2568
7 ธันวาคม 2568