วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 23:34 น.
รองนายกฯ "บวรศักดิ์” แจง 4 กฎหมายสำคัญ ย้ำ รัฐบาลนี้พร้อมพิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตามนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา
(30 ตุลาคม 2568) ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเรื่องกฎหมายที่สำคัญ ประกอบด้วย 1. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. …. 2. แนวทางการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 3. การตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี และ 4.แนวปฏิบัติให้ดำเนินการตามมติ คกก. ไม่ต้องรับรองรายงานประชุม สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางไปเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อขอพระสังฆราชานุมัติ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ว่า “จะพิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนา“ ซึ่งจะช่วยป้องกันและขจัดการบ่อนทำลายพุทธศาสนา การออกร่างระเบียบดังกล่าว นายกรัฐมนตรีจะลงนามภายหลังการตรวจร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรียกย่อว่า คพช. ซึ่งประธานคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งนั้น จะต้องได้รับพระสังฆราชานุมัติและความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม นอกจากนี้ยังมี กรรมการโดยตำแหน่งได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระพุทธศาสนาและด้านอื่น ๆ ไม่เกิน 9 คนที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาเป็นกรรมการและเลขานุการ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่ากรรมการชุดนี้ จะทำหน้าที่เสนอมาตรการต่างๆ ต่ออาณาจักร (นายกรัฐมนตรี) และพุทธจักร (มหาเถรสมาคม) อันเป็นมาตรการกลไกที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้เป็นไปตามกฎหมาย พระธรรมวินัย สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ ตลอดจนคำสั่ง ประกาศของมหาเถรสมาคม หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับคณะสงฆ์โดยตรงต้องได้รับพระสังฆราชานุมัติและด้วยความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองพุทธศาสนาจังหวัด 76 จังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนาในชั้นจังหวัด ตลอดจนการให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานของรัฐที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการกำหนดให้มีคณะวินัยธรกลาง และ คณะธรรมธรกลาง ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม โดยคณะวินัยธรกลาง ประกอบด้วย พระภิกษุผู้ทรงภูมิในพระวินัย จำนวนไม่เกิน 10 รูป มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับพระวินัย ที่มีข้อโต้แย้งการตีความพระวินัยและการบังคับใช้ หรือในกรณีมีข้อความเห็นแตกต่างกันระหว่างพระสังฆาธิการ ผู้มีอำนาจสอบสวนและวินิจฉัยอธิกรณ์ซึ่งได้ดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคม และคณะพระสังฆาธิการนั้นได้ร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัย รวมทั้งพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏขึ้นแก่คณะวินัยธรกลาง และคณะวินัยธรกลางเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรมีข้อยุติที่ต้องถือปฏิบัติโดยคณะสงฆ์
ส่วนคณะธรรมธรกลางนั้น ประกอบด้วยพระภิกษุผู้ทรงภูมิในพระธรรม จำนวนไม่เกิน 10 รูป มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและวินิจฉัยปัญหาในลักษณะสัทธรรมปฏิรูปเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และปัญหาทางพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบคณะสงฆ์ไทย ตามที่พระสังฆาธิการ ตั้งแต่เจ้าคณะภาคขึ้นไปร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัย รวมทั้งการพิจารณาและวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏขึ้นแก่คณะธรรมธรกลาง และคณะธรรมธรกลางเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรมีข้อยุติที่ต้องถือปฏิบัติโดยคณะสงฆ์
ทั้งนี้ การที่นำมาเขียนเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นการที่อาณาจักรจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือพุทธจักรได้ นอกจากนี้ ได้ประสานกับ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ดำเนินการจัดทำระบบบัญชีรับ-จ่ายเงินของวัด ระบบบัญชีรับ-จ่ายเงินศาสนาสมบัติกลาง เพื่อให้วัดทั่วประเทศถือปฏิบัติ เพื่อให้ระบบบัญชีของวัดโปร่งใส ทั้งนี้ได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้รับทราบแล้ว โดยวัดที่มีรายรับตั้ง 1 – 10 ล้านบาท กรมบัญชีกลางอาจกำหนดระบบบัญชีแบบรวบรัด ส่วนวัดที่มีรายรับมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป กรมบัญชีกลางต้องทำบัญชีและต้องมีผู้สอบบัญชี
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อในประเด็นแนวทางการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของ ปปส. ว่าขอชื่นชม การทำงานของ ปปส. ที่มีผลงานด้านการปราบปรามยาเสพติดที่ดี แต่ยังพบว่าด้านการป้องกันยาเสพติดยังน้อยอยู่ เนื่องจาก ปปส. เน้นความสำคัญไปที่ Supply side หรือ กลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดมากกว่าด้าน "Demand side" หรือกลุ่มผู้เสพ ดังนั้น จึงได้มีการเสนอต่อ ปปส. ว่าให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มขึ้น 1 ชุด เนื่องจากคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 3 ชุดปัจจุบันที่มีอยู่เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านการปราบปรามเป็นหลัก ที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ผลิตและจำหน่ายยาเสพติด
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงศึกษาธิการ บูรณาการทำงานร่วมกับ ปปส. และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา เพราะปัญหาเหล่านี้จะเป็นการเพิ่มตัวเลขของ Demand Side จากข้อมูลกรมควบคุมโรค เผยตัวเลขผู้ต้องโทษคดียาเสพติดในปัจจุบันที่ออกจากเรือนจำไปแล้วราว 250,000 คน แต่กลับพบว่ามีสถิติผู้ป่วย (ผู้เสพ) กลับมาอีก 125,000 คน ทั้งนี้ จากตัวเลขการปราบปรามทำให้ผู้เสพใหม่ (ผู้เสพครั้งที่ 1) กว่าแสนคน
ส่วนการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการดังกล่าว เพื่อเร่งรัดสิ่งที่แถลงไว้ในนโยบายรัฐบาล การยกเลิกแก้ไข เน้นที่กฎระเบียบ ตั้งแต่พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และกระบวนงานที่ทำให้ประชาชนเป็นภาระ ใช้เวลานาน มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การจ้างทนาย โดยกระทรวงหลัก ๆ ที่จะต้องมีการปรับ คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ จะต้องเพิ่ม 3 ตัวชี้วัด 1. ความสามารถในการแข่งขัน IMD 2. ตัวชี้วัดหลักนิติธรรม world Justice Project (WJP) 3. Worldwide Governance Indicators (WGI) ตัวชี้วัดธรรมาภิบาลของสถาบันธนาคารโลก การยกเลิกกฎระเบียบ เปลี่ยนแปลงขั้นตอนวิธีการในการพิจารณาอนุญาตทั้งหลายเป็นเรื่องของบ้านเมือง จะช่วยยกระดับนิติธรรมของไทย และปูทางไปสู่การเข้าสู่ความเป็นเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งในเอเชียมีสมาชิกน้อยมาก แค่อินโดนีเซียและไทยที่กำลังสมัคร ถ้าสามารถเข้า OECD ได้ มาตรฐานด้านการเงิน กฎหมาย การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ก็จะช่วยดึงดูดการลงทุนในไทยได้อีกมาก
สำหรับเรื่องแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะกรรมการโดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุมนั้น ครม. ได้มีมติอนุมัติคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการตามกฎระเบียบ คณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี หรือคณะกรรมการของศูนย์ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจทุกหน่วย มีมติเช่นไรให้ปฏิบัติตามมติได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะทำให้ระบบราชการเร็วขึ้น ไม่ต้องรอรับรับรองรายงานการประชุมก่อน
10 ธันวาคม 2568
10 ธันวาคม 2568
10 ธันวาคม 2568
10 ธันวาคม 2568