วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เวลา 15:32 น.
เวลา 09.45 น. วันนี้( 7 ตุลาคม 2568) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่ 2 คดี หมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ปธ.นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. และแนวร่วมอื่นๆ เป็นจำเลย 1-13 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548
จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 13 เมษายน 2552 พวกจำเลย ได้ร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยปิดทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญ ๆ หลายแห่งใน กทม. โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก แต่เนื่องจากนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 11 อยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา ส่วนนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 10 มีพฤติการณ์ หลบหนี ศาลสั่งออกหมายจับ ปรับนายประกัน
สำหรับจำเลยทั้ง 13 คนประกอบด้วย
1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์
2.นายจตุพร พรหมพันธุ์
3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4.นพ.เหวง โตจิราการ
5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร
6.นายนายณรงศักดิ์ มณี
7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์
9.นายพายัพ ปั้นเกตุ
10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
11.นายอดิศร เพียงเกษ
12.นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต)และ
13.นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงชื่อดัง
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย เห็นพฤติการณ์ของพวกจำเลย ซึ่งแม้จะเป็นการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธตามสิทธิ แต่การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อน และละเมิดสิทธิแก่ประชาชนทั่วไป โดยพวกจำเลยจัดชุมนุมปราศรัยชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ ยึดและเผารถโดยสารประจำทาง นับสิบคัน สร้างความเสียหายธนาคารพาณิชย์ หลายแห่ง และร้านสะดวกซื้อ ปิดทางเข้าสถานที่ราชการหลายแห่ง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ส่วนพยานหลักฐานจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ การกระทำของพวกจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกัน ให้ลงโทษฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมดังกล่าวแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสาม อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
จึงพิพากษาจำคุก นายวีระกานต์ จำเลยที่ 1 นายจตุพร จำเลยที่ 2 นายณัฐวุฒิ จำเลย ที่ 3 นพ.เหวง จำเลยที่ 4 และนายอดิศร จำเลยที่ 11 คนละ 6 ปี และฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จำคุกคนละ 6 เดือน คำเบิกความของจำเลยทั้งห้า เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้คนละ 1ใน3 คงจำคุกจำเลยที่ 1,2,3,4 และที่ 11 คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
ส่วนจำเลยที่ 5,7,8,9 และที่13มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ จำคุกคนละ6 เดือน ลดโทษให้1ใน3คงจำคุก จำเลย5,7,8,9 และที่13คนละ4 เดือน ไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6และที่ 10
อย่างไรก็ตาม ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล