ผู้ว่าฯ ชัชชาติ – รฟท. ผนึกกำลังจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ส่งไม้ต่อ กทม. ดูแลถนน สะพาน อุโมงค์

(12 ก.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อจัดทำบริการสาธารณะในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับกรุงเทพมหานคร (กทม.)

โดยมี นายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายวิศณุ ทรัพย์สมพล นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักการโยธา ผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธี ณ ห้องพิธีการ ชั้น 3 อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า  วันนี้เป็นวันสำคัญที่การรถไฟแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานครได้มีการลงนามร่วมกันเพื่อการดูแลพื้นที่ใต้ทางรถไฟ โดยเฉพาะรถไฟชานเมืองสายสีแดง ซึ่งมีถนนตั้งแต่กำแพงเพชร 1–7 รวมถึงอุโมงค์ต่าง ๆ เพื่อให้กรุงเทพมหานครเข้ามาช่วยดูแลเรื่องการจราจรและระบบระบายน้ำ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนใช้เส้นทางเหล่านี้อยู่แล้ว

ขณะที่การรถไฟฯ เองก็ไม่ได้มีธุรกิจหลักด้านการดูแลถนน ซึ่งการที่ กทม. ได้ถนนเพิ่มขึ้นมาถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะจะช่วยให้ประชาชนใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ที่ผ่านมาอาจมีเสียงบ่นบ้างเรื่องการดูแล แต่เมื่อมีข้อตกลงร่วมกันก็จะทำให้การจัดการดีขึ้น จึงต้องขอขอบคุณการรถไฟฯ ที่กรุณาเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรและเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เข้มแข็ง ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งนับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสังคมโดยรวม” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี และขอขอบคุณกรุงเทพมหานครที่รับมอบถนนกำแพงเพชร  1–7 ไปดูแลบำรุงรักษา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมาเคยเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าแสงสว่าง การรถไฟฯ เองก็เคยต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกว่า 25 ครั้ง เพราะไม่มีทั้งงบประมาณและบุคลากรในการดูแลถนน การที่กรุงเทพมหานครเข้ามาบริหารจัดการจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมและจะช่วยยกระดับความปลอดภัยได้มากกว่า