หน้าแรก > สังคม

24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2568

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เวลา 05:42 น.


24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2568


>> พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ถึงแก่อสัญกรรม

07.40 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอก สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 19 ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อเวลา 01.57 น.ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ สิริอายุ 91 ปี 10 เดือน 4 วัน

พล.อ. สุจินดา คราประยูร เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ท่านเป็นทั้งนายทหารและนักการเมือง โดยเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึงเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ก่อรัฐประหารในปี พ.ศ. 2534 กำหนดการพิธีศพจะแจ้งให้ทราบต่อไป


>> นายกฯ ขอบคุณชาวไร่อ้อย ร่วมสนับสนุนมาตรการลดปัญหาฝุ่น PM2.5

09.40 น. ประธานสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยและคณะ เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความขอบคุณนายกฯ ที่สนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยเฉพาะการส่งเสริมแนวทางการตัดอ้อยสด เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 พร้อมเสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีส่งเข้าโรงงานน้ำตาล ซึ่งควรดำเนินการอย่างจริงจังและเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

นายกฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลตระหนักดีถึงความเสียสละและความร่วมมือของเกษตรกรในการแก้ไขปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม และจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ที่จะต้องดำเนินการควบคู่กัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มอย่างรอบด้าน


>> เพลิงไหม้บ้านเรือน ห้องนอนที่ต่อเติมเสียหายวอด 2 ตา-ยายสงสัยจะเป็นฝีมือลูกเขย

11.45 น. ศูนย์วิทยุหน่วยป้องกันภัยพิบัติทางบกเทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ในพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.ตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

ที่เกิดเหตุ พบเป็นบ้านปูนสองชั้น พบว่ามีเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ห้องนอนเล็กชั้นล่าง ที่อยู่ติดกับตัวบ้าน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงได้ช่วยกันฉีดน้ำสกัดเพื่อไม่ให้ลุกลามโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพลิงจึงสงบ ตรวจสอบพบว่า ห้องนอนได้รับความเสียหายทั้งหมด ส่วนตัวบ้านได้รับความเสียหายเล็กน้อย

สอบถาม นางประทุม อายุ 77 ปี เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุได้อยู่กับสามีชาวต่างชาติกันตามลำพัง ส่วนลูกสาวซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้เดินทางไปทำธุระในต่างจังหวัด ส่วนบ้านหลังนี้อยู่กันสี่คน โดยมีลูกเขยรวมอยู่ด้วย แต่พักหลังลูกเขยตนได้ไปๆ มาๆ

ส่วนนางประทุม กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ลูกเขยตนพยายามเข้ามาบ้านเพื่อเอาเอกสารบางอย่าง แต่ตนไม่ให้เข้าบ้านทำให้ลูกเขยไม่พอใจ และเดินออกจากบ้านไป สักพักก็พบว่า มีกลุ่มควันพวยพุ่งและเกิดไฟลุกไหม้ตามมา โชคดีที่ตนกับสามีชาวต่างชาติหนีออกมาได้ทัน ส่วนสามีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เชื่อว่าไฟไหม้ครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือลูกเขย เนื่องจากพอเกิดเหตุมีคนช่วยดับไฟหลายคน แต่ลูกเขยกลับไม่เข้ามาช่วย ทั้งที่เป็นห้องนอนของตัวเองแท้ๆ

ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อสอบถามไปยังลูกสาวของนางประทุม ทราบว่า เธอกับแฟนเคยเจรจาเลิกรากันไป แต่เคยบอกกับแม่ไว้ว้าถ้าเค้าจะเข้าบ้านก็ปล่อยให้เข้าไป นอกจากนั้น ก่อนที่ไฟจะไหม้บ้านได้มีการขู่ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ให้ผู้เสียหายนำหลักฐานทำการเข้าแจ้งความที่ สภ.บางละมุง พร้อมจะติดตามผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายต่อไป


>> จับ พ.ต.อ.แพทย์หญิง รพ.ดัง สั่งซื้อยาเสียสาว ขายนอกระบบ พบเงินหมุนเวียนกว่า 80 ล้านบาท

11.57 น. กระทรวงสาธารณสุข สนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตรวจค้นแฟลตตำรวจ หลังพบเป็นจุดพักยานอนหลับซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดประเภท 2 และ 4 ยึดของกลางเป็นยานอนหลับประมาณ 10 กล่อง พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็น พันตำรวจเอกแพทย์หญิงชื่อดังเป็นหัวหน้าขบวนการ สั่งซื้อยาผิดปกติมาตั้งแต่ปี2565

นายกองตรีธนกฤต จิตอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยกำลังตำรวจปราบปรามยาเสพติด เข้าตรวจค้นห้องพักภายในห้องพักแฟลตตำรวจย่านอารีย์หลังสืบทราบว่าเป็นจุดพักยานอนหลับ ซึ่งจัดอยู่กลุ่มของยาเสพติดที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น

เบื้องต้นสามารถควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องได้ 2 ราย ประกอบด้วยพันตำรวจเอกแพทย์หญิงรายหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าทีควบคุมตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว และชายไทยผู้ดูแลห้องพักภายในแฟลตตำรวจ พร้อมยึดของกลางกลุ่มยานอนหลับ ที่บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง 
นายธนกฤต เปิดเผยว่า พฤติการณ์ของแพทย์หญิงรายดังกล่าวมีการสั่งซื้อกลุ่มยานอนหลับจำนวนมากกว่าปกติโดยใช้ชื่อคลินิกในเครือข่าย 11 แห่ง ร่วมในการสั่งซื้อก่อนที่จะนำยามาพักไว้ ยังสถานที่จัดเก็บ และจำหน่ายให้กับผู้ซื้อ

ซึ่งส่วนใหญ่นิยมใช้ในกลุ่มวัยรุ่นโดยมักจะนำไปใช้เป็นยาเสียสาว โดยเริ่มสั่งซื้อยาผิดปกติมาตั้งแต่ปี 2565 และเมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินพบมีเงินหมุนเวียน ในระบบมูลค่ากว่า80 ล้านบาท


>> 4 หน่วยงาน เปิด 36 ตู้คอนเทนเนอร์ ตรวจสอบสินค้าเข้าข่ายอันตราย

13.14 น. ที่ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมเปิดตู้คอนเทนเนอร์ตรวจสอบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายภายใต้อนุสัญญาบาเซล จำนวน 36 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักรวม 736 ตัน

นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ระบุว่า ได้ตรวจสอบตู้สินค้าตกค้างระบุในใบตราส่งสินค้า จำนวน 36 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนัก 736,425 กิโลกรัม ประเทศต้นทางมาจากเมืองคาซาบลังก้า โมร็อกโก นำเข้ามาเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยสินค้ามีลักษณะเป็นผงละเอียดสีน้ำตาล มีกลิ่นฉุน บรรจุในถุงกระสอบ ตรวจสอบโดยเครื่อง X-ray fluorescence หรือ XRF พบปริมาณธาตุโลหะหลักเป็นสังกะสี 32.2% เหล็ก 13.5% และมีการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว 1.24% แคดเมียม 890 ppm และพลวง 540 ppm เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายข้ามแดน เพื่อป้องกันการถ่ายโอนของเสียอันตรายจากประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนาตามอนุสัญญาบาเซล

สำหรับของเสียดังกล่าวหากหลุดออกไปได้ จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง เช่น โรคปอด โรคทางเดินหายใจและมะเร็ง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนในดิน น้ำและอากาศ

กรณีนี้เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 บัญชีที่ 5.2 ของเสียเคมีวัตถุ ลำดับที่ 2.2 และอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของขอเสียอันตรายและการกำจัด


>> รัฐบาล เร่งปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย เดินหน้าใช้กฎหมายเด็ดขาด สร้างความยุติธรรมให้ประชาชน

14.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการป้องกันปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย พร้อมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการใน 4 ประเด็นสำคัญ

การแก้ปัญหาการจดทะเบียนของบริษัทนอมินี, การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน, การจัดทำรายการสินค้าเฝ้าระวังสำหรับการส่งออก เพื่อป้องกันการลักลอบสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทย และ การตรวจสอบโรงงาน/สถานประกอบการต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมาย

นายกฯ กำชับทุกส่วนราชการเร่งจัดการปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ย้ำ ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ควบคู่กับการสร้างความยุติธรรมให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว


>> รพ.ตำรวจ สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ปมแพทย์หญิงคนดัง แอบอ้างคลินิกสั่งยานอนหลับ

15.33 น. พลตำรวจตรีหญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจเปิดเผยจากที่ปรากฏข้อมูลตามสื่อมวลชนว่า “แพทย์หญิง ยศ พ.ต.อ. สังกัดโรงพยาบาลตำรวจ ถูกจับกุมหลังแอบอ้างคลินิกสั่งซื้อยานอนหลับ มีเงินหมุนเวียนกว่า 80 ล้านบาท และสามารถตรวจยึดของกลางในแฟลตตำรวจได้เป็นจำนวนมาก” นั้น

ขณะนี้ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8 ) ได้รับรายงาน เรื่องดังกล่าว และได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และประสานข้อมูลไปยังกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อโรงพยาบาลตำรวจได้รับรายงานข้อมูลอย่างเป็นทางการแล้ว หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็จะดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรง และอาจพิจารณาสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต่อไป

โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวด้วยว่า ในกรณีการสั่งจ่ายยาวัตถุออกฤทธิ์ และยาเสพติดให้โทษ ทางโรงพยาบาลตำรวจ ได้มีการควบคุมการสั่งจ่ายยาทุกครั้ง โรงพยาบาลตำรวจขอยืนยันว่าให้ความสำคัญกับจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ อย่างสูง


>> นายกฯ ลงพื้นที่ชายแดน ไทยกัมพูชาที่จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม กาบเชิง สุรินทร์ พรุ่งนี้

15.45 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (11 มิถุนายน 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะจะเดินทาง ไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยในช่วงเช้าจะเดินทางไปที่สนามบินบุรีรัมย์ อำเภอสตึก จากนั้น เดินทางต่อโดยรถยนต์ไปยังห้องประชุม ที่ว่าการอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมในประเด็นเรื่องความมั่นคง รวมถึงมาตรการในการสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ไทยกัมพูชา

โดยนายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพล กองกำลังสุรนารี อำเภอกาบเชิง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับกำลังพล จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ จะออกเดินทางต่อไปยังจุดผ่านแดนถาวร ช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ และพูดคุยถึงสถานการณ์ปัจจุบันหลังจากสถาณการณ์ชายแดนเริ่มคลี่คลายดีขึ้น


>> กรมอุตุฯ เตือน ฉบับ 2 พายุดีเปรสชัน บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน

16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง พายุดีเปรสชัน บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ฉบับที่ 2 (136/2568) พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะไหหลำ ประมาณ 570 กิโลเมตร หรือที่ละติจูด 15.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 114.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อยอย่างช้าๆ โดยมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในระยะต่อไป

และคาดว่าในช่วงวันที่ 13–14 มิ.ย. 68 จะเคลื่อนผ่านด้านตะวันออกของเกาะไหหลำเข้าประเทศจีนตอนใต้ หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ โดยศูนย์กลางของพายุลูกนี้จะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย จึงไม่มีผลกระทบโดยตรง แต่อาจทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง และคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น

ทั้งนี้ หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง กรมอุตุนิยมวิทยาจะมีการแจ้งเตือนทันที จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด


>> ไฟไหม้ภายในโรงงานจำหน่ายพริกป่น ถนนศาลายา-บางภาษี พื้นที่ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

16.02 น. รับแจ้งว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในโรงงานจำหน่ายพริกป่น ริมถนนศาลายา - บางภาษี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายพริกป่น ต้นเพลิงเกิดขึ้นภายในอาคาร เพลิงลุกไหม้ตู้อบพริก ( ซึ่งใช้แก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิง ) พื้นที่เพลิงไหม้เสียหายโดยประมาณ 4 ตารางเมตร รถดับเพลิงใช้น้ำทำการดับเพลิงสงบ

ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นสาเหตุเพลิงไหม้เกิดจาก ความร้อนสะสมที่ตู้อบพริก ที่เกิดเหตุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยตลิ่งชันสนับสนุนที่เกิดเหตุ


>> กสทช. บุกค้นร้านอาหาร "ลุงโทนี่" อินฟลูฯ คนดัง จับ ว.เถื่อน เจ้าตัวอ้างไม่รู้ว่าต้องมีใบอนุญาต

16.52 น. นายพัทธยา ไชยนาแพง ผู้อำนวยการส่วนบังคับใช้กฎหมายและนิติการ สำนักงาน กสทช. ภาค 3 พร้อมเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ 10 นาย นำหมายศาลจังหวัดเพชรบูรณ์เข้าตรวจค้นร้าน "ครัวลุงโทนี่" ของอินฟลูฯ ชื่อดัง ใน อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

หลังการตรวจสอบภายในร้าน พบของกลางเป็นวิทยุสื่อสาร เครื่องสีดำ จำนวน 10 เครื่อง โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบถึงความผิดทางกฎหมายในการครอบครองวิทยุสื่อสารโดยไม่มีใบอนุญาต ในข้อหา "มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือได้ใช้ หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด" ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท

เบื้องต้น "ลุงโทนี่" ยอมรับว่าเป็นเจ้าของวิทยุสื่อสารเครื่องสีดำจริงและไม่ทราบว่าต้องมีใบอนุญาตด้วย ซึ่งเจตนาที่ซื้อมาใช้ เพื่อสื่อสารกับพนักงานภายในร้านเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไปก้าวก่ายเครือข่ายราชการ หรือเครือข่ายอื่นๆ และไม่มีเจตนากระทำความผิดใดๆ อยากจะขอให้เจ้าหน้าที่ได้ใช้วิธีว่ากล่าวตักเตือนแทนเพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งถ้าหากทราบก็จะไม่กระทำผิดอย่างแน่นอน แต่เจ้าหน้าที่คงยืนยันว่าความผิดเกิดขึ้นแล้ว จะปล่อยผ่านไปไม่ได้ เพราะอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะมีความผิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดและนำตัวลุงโทนี่ ไปทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 11,000 บาท และริบของกลางวิทยุพร้อมอุปกรณ์จำนวน 10 ชุด

หลังทำความเข้าใจแล้ว ลุงโทนี่ เปิดใจว่า อยากฝากเตือนแฟนคลับที่ติดตามตนรวมถึงประชาชนทั่วไปว่า การใช้วิทยุสื่อสารเครื่องสีดำจะต้องยื่นสอบใบอนุญาตกับ กสทช. เสียก่อน และการครอบครองวิทยุสื่อสารเครื่องสีดำก็จะต้องมีใบอนุญาตด้วยเช่นกัน ไม่อยากให้ใครกระทำผิดแบบตนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีก อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนไม่รู้เพื่อจะได้ปฏิบัติให้ถูกกฎหมาย และหากมีความจำเป็นต้องใช้วิทยุสื่อสารขอให้ไปใช้เครื่องสีแดง เพราะเป็นคลื่นความถี่ที่อยู่คนละย่านความถี่ของวิทยุเครื่องดำ ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ทั่วไป


>> รถโม่ปูนชนกับรถจักรยานยนต์ กลางถนนสายไหม มีผู้เสียชีวิตทั้งแม่และลูกสาว

17.00 น. รับแจ้งจากมูลนิธิร่วมกตัญญู มีอุบัติเหตุ รถโม่ปูน ชนกับ รถจักรยานยนต์ บนถนนสายไหม บริเวณใกล้เคียงปากซอยสายไหม 51 เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร

ที่เกิดเหตุ พบรถโม่ปูน ยูดี สีเหลือง ป้ายทะเบียน 9590 กทม. ลักษณะชนกับ รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟีโน่ สีขาว - แดง ป้ายทะเบียน 656 ชลบุรี ใกล้กันพบร่างของผู้บาดเจ็บ 2 รายมีอาการสาหัสและหมดสติ ทางอาสากุ้ชีพ - กู้ภัยเร่งให้การช่วยเหลือปั๊มหัวใจ แต่ไม่เป็นผล เสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยกันทั้งคู่ ตรวจสอบเอกสาร เป็นหญิงไทย อายุ 38 ปี และเด็กหญิง 9 ขวบ ในส่วนของสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สายไหม


>> อุบัติเหตุหมู่ รถกระบะ, รถเก๋ง, รถเทรลเลอร์ กลางถนนหมายเลข 36 มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย

17.50 น. รับแจ้งจาก มูลนิธิสว่างพรกุศลจังหวัดระยอง ว่ามีอุบัติเหตุ รถกระบะ, รถนั่งส่วนบุคคล และรถทรลเลอร์เฉี่ยวชนกัน และมีผู้บาดเจ็บหลายราย บนถนนหมายเลข 36 ฝั่งขาออกเมืองระยอง ในพื้นที่ ต.มะขามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง

ที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะ โตโยต้า สีดำ ป้ายทะเบียน 7746 , รถเทรลเลอร์ สีขาว ป้ายทะเบียน นครปฐม (ส่วนท้าย) และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล โตโยต้า สีเทา ป้ายทะเบียน 8353 นนทบุรี

ตรวจสอบมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 7 ราย ทางเจ้าหน้าที่กู้ชีพ - กู้ภัยให้การช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาลมาบตาพุต และโรงพยาบาลนิคมพัฒนา และพบว่ามีผู้เสียชีวิต 1 ราย ตรวจสอบเอกสาร เป็นชายไทย อายุ 45 ปี ในส่วนของสาเหตุที่แท้จริงนั้นอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมพัฒนา


>> กทม. หารือ ปภ. ถอดบทเรียนการทดสอบ Cell Broadcast เร่งขยายผลรับมือทุกภัยพิบัติ ยกระดับการเตือนภัยทั่วกรุง

17.58 น. รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมหารือกับ นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เรื่องระบบแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ Cell Broadcast พร้อมผู้บริหารกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขตดุสิต

โดยการประชุมหารือในครั้งนี้ เป็นการร่วมวิเคราะห์แก้ไขปัญหาจากการแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ Cell Broadcast ที่ทดสอบเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 68 ว่าพบปัญหาอะไร และอย่างไร และแนวทางการแก้ไขปัญหา ขั้นตอนปฏิบัติงานมาตรฐาน (SOP) ซึ่งเป็นชุดคำแนะนำทีละขั้นตอนที่รวบรวมโดยองค์กรเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานประจำวันที่ซับซ้อนได้ รวมทั้งความร่วมมือในการรับมือกับสาธารณภัยต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เนื่องจากหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว วันที่ 28 มี.ค. 68 นั้น ทำให้เกิดความร่วมมือที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ หลายทาง 
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมหารือการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุในการสมมุติเหตุการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ ของหน่วยงานกรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  


>> ตำรวจสายตรวจเมืองนนทบุรี ไล่จับ คนร้ายซุกยาเสพติด ขัดขืนชักมีดพยายามต่อสู้ โดนยิงสกัดบาดเจ็บ หามนำส่ง รพ.

19.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ไล่จับคนร้ายต้องสงสัยมียาเสพติด มีการต่อสู้จึงได้ยิงสะกัดคนร้ายได้รับบาดเจ็บ หน้าโรงงานทำสแตนเลศ ตรงข้ามวัดชมภูเวก ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี

ที่เกิดเหตุ เป็นบริเวณด้านหน้าโรงงานทำสแตนเลส พบชายถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่แขนทั้ง 2 ข้าง ใกล้กันพบอาวุธมีดปลายแหลมตกอยู่ 1 เล่ม และถุงบรรจุยาบ้า และไอซ์ เจ้าหน้าที่กู้ชีพเร่งปฐมพยาบาล น้ำตัวส่ง รพ.พระนั่งเกล้า ทราบชื่อคือ นายรอ (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี ห่างจากจุดพบผู้บาดเจ็บประมาณ 10 เมตร ถนนด้านหน้าโรงงานพบรถจยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีฟ้า ทะเบียน ปทุมธานี ซึ่งเป็นรถของผู้บาดเจ็บ ที่ผิวถนนพบรอยไถลเป็นทางยาว

สตท.นัทธวัฒน์ เปิดเผยว่า ตนขับรถออกตรวจมาจากแยกแคราย จากนั้นมาตามถนนติวานนท์ พบรถ จยย.ต้องสงสัย ได้ขับติดตามมาถึงแยกสนามบินน้ำ แต่คลาดกัน จึงได้เลี้ยวรถมาตามถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี เพี่อกลับเข้าพื้นที่ของ สภ.เมืองนนทบุรี

เมื่อมาถึงแยกไฟแดงคลังเชื้อเพลิง พบชายต้องสงสัยขับรถจยย.มีท่าทางมีพิรุธ จึงคิดว่ามีสิ่งผิดกฏหมาย จากนั้นคนร้ายได้ ชะลอรถแล้วเลี้ยวเข้าวัดชมภูเวก ตนจึงเปิดไฟสัญญาณ พอเขาเห็นว่าตนขับตาม คนร้ายได้ขับรถจยย.หลบหนี จนมาเจอลูกระนาดทำให้รถจยย.เสียหลักล้ม คนร้ายวิ่งหลบหนีเข้าไปที่หน้าโรงงานดังกล่าว พร้อมด้วยถุงพลาสติก และกระเป๋าสะพาย ตนจึงบอกเพื่อนที่เป็นคู่ตรวจให้ระวังเนื่องจากคนร้ายมีอาวุธมีด พอคนร้ายวิ่งไปตามรั้วสังกะสีเจอทางตันได้ชักอาวุธมีดออกมา ตนจึงสั่งให้วางอาวุธมีดลง แต่เขาไม่วาง กลับชักมีดจะแทงตนจึงยิงสกัดไป 2 นัด กระสุนเข้าที่แขนทั้ง 2 ข้าง

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดป้องกันปราบปราม สภ.เมืองนนทบุรี สตท.นัทธวัฒน์ เกตุแก้ว และ จสต.นครินทร์ ปานันท์ ได้สืบทราบว่ามีการส่งยาเสพติดในพื้นที่ และมีการขับรถไล่ล่าจนพบตัวคนร้ายพยายามหลบหนีจนเจอทางตันและพยายามต่อสู้ จึงได้มีการยิงสกัดจนคนร้านได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเกิดเหตุในพื้นที่ของ รัตนาธิเบศร์ พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป  


>> หนุ่มเมียนมา แจ้งพบศพลอยน้ำมีก้อนหินทับ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอาไม้เขี่ยหิน ร่างหันหน้ามาบอก "ช่วยผมด้วย"

00.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูเดินทางเข้าตรวจสอบศพคนลอยน้ำ ที่บริเวณอยู่ใต้สะพานข้ามคลองลำโพ ถนนทางหลวงหมายเลข 9 ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จากนั้นจึงประสานแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ร่วมตรวจสอบ หลังได้รีบแจ้งจากประชาชนที่มาตกปลา

ที่เกิดเหตุพบนายรัสโส ชาวเมียนมา อายุ 28 ปี เป็นคนพบศพพร้อมเพื่อน ยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อชี้จุดที่พบศพอยู่ในคลองลำโพ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ พบว่ามีร่างคนลอยอยู่ในคลองเป็นชายสูงอายุ นอนแน่นิ่งอยู่ในน้ำ สวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตแขนยาว สวมกางเกงขายาวสีดำ ศีรษะพาดอยู่กับก้อนซีเมนต์ริมคลอง ลำตัวด้านล่างจมอยู่ในน้ำ ติดอยู่กับตอม่อสะพาน ที่ใบหน้าและจมูกมีบาดแผลมีเลือดติดอยู่

ในระหว่างที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัย กำลังปรึกษาเพื่อหาทางนำร่างดังกล่าวขึ้นมาจากน้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง เดินเข้าไปใช้ไม้ยาวเขี่ยเพื่อจะเอาก้อนคอนกรีตก้อนใหญ่ที่ทับอยู่ที่ท้องของร่างดังกล่าวออก แต่จู่ๆ ร่างชายคนดังกล่าวที่ทุกคนคิดว่าเสียชีวิตแล้วกลับฟื้นตื่นขึ้นมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนสะดุ้งนึกว่าถูกผีหลอก ก่อนที่ร่างชายสูงอายุในน้ำจะหันมาบอกว่า "ช่วยผมด้วย" หลังตั้งสติและหายตกใจ ทางเจ้าหน้าที่ตำตวจและพลเมืองดีจึงช่วยกันนำชายดังดล่าวขึ้นฝั่ง จากนั้นสายตรวจจึงต้องยกเลิกแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และพนักงานสอบสวนทันที

จากการสอบถาม ทราบชื่อคือ นายโกเซม อายุประมาณ 70 ปี เล่าว่า ระหว่างทางเดินกลับบ้านที่ อ.บางบัวทอง เมื่อไปถึงใต้สะพานข้ามคลองเกิดอาการเป็นลม แล้วพลัดตกลงไป ซึ่งเจ้าตัวยังให้การวกวน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปส่งโรงพยาบาลบางบัวทอง เพื่อตรวจร่างกาย

นายรัสโซ ชาวเมียนมา ผู้เห็นกล่าวว่า เมื่อช่วงเวลา 21.00 น. ตนเดินมาเห็นแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นยังไม่มั่นใจว่าเป็นศพ จนกระทั่งหลังผ่านไปตนเองและกลุ่มเพื่อนเดินมาอีกครั้ง เพื่อจะออกมาหาปลา และพบร่างยังอยู่จุดเดิม ซึ่งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตแล้ว และเห็นว่าที่ดั้งจมูกมีคราบเลือดติดอยู่ด้วย จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ แต่สุดท้ายต้องตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อพบว่าชายคนดังกล่าวยังไม่เสียชีวิต 
 

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม