วันที่ 18 ตุลาคม 2567 เวลา 12:32 น.
เมื่อวันที่ 18 ต.ค.เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนทนายความ ยื่นหนังสือ ฐานคลิปเสียงจำนวน 2 คลิปและเอกสารถอดเทป ถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) อยู่ในกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ และกรรมาธอิการวิสามัญ คณะไหนบ้าง หากพบมีพฤติกรรมการกระทำความผิด ขอให้ปลดออกจากคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ทุกคณะ เพราะการกระทำแบบนี้เหมือนเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองซึ่งผิดจริยธรรมขั้นร้ายแรงไม่สมควรที่จะอยู่ต่อ เพราะทำให้รัฐสภาไทยเกิดความเสื่อมเสีย หลังปรากฎมีเสียงคล้าย คนในคลิปเรียกรับผลประโยชน์ผู้บริหารดิไอคอน กรู๊ป โดยมีนายมุข สุไลมาน เลขานุการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร มารับหนังสือแทน
ด้านนายมุข สุไลมาน เลขานุการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้มารับหนังสือแทน กล่าวว่า ตอนนี้ประธานรัฐสภา ได้สั่งให้ประธานคณะกรรมาธิการทุกคณะ ตรวจสอบบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการทุกตำแหน่ง เพื่อไม่ให้ใช้ตำแหน่งดังกล่าวไป หลอกลวงพี่น้องประชาชน ซึ่งหากยังพบว่ามีประเด็นดังกล่าว คนที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบคือ ประธานคณะกรรมาธิการ และหลังจากนี้ก็จะดำเนินการตรวจสอบเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่ โดยมิชอบอย่างเข้มข้นต่อไป
ทั้งนี้นายษิทรา กล่าวว่า เบื้องต้นตรวจสอบแล้ว มีอยู่เกือบ 10 คณะ ที่นายสามารถ เป็นกรรมาธิการ อาทิ ที่ปรึกษากรรมาธิการการแรงงาน, ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการศึกษาการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 6 ปี กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ภาษี สรรพสามิต และเป็นโฆษกอนุกรรมาธิการศึกษาหนี้นอกระบบ และ เท่าที่ทราบตอนนี้นายสามารถ ยังอยู่ไทย แต่ไม่กล้าออกมาตอบคำถามพี่น้องสื่อมวลชน เพราะแค่เสียงตัวเอง ยังไม่กล้ายอมรับเลย ทั้งนี้เท่าที่ดูเรื่องของนายสามารถ ก็ยังมีให้คนอื่นไปเรียนแทน และตนไม่รู้ว่ากลับมาได้อย่างไร เพราะเคยออกจากพรรคพลังประชารัฐไปแล้ว
เมื่อถามว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนายสามารถ มีใครที่อยู่ระดับสูงกว่านี้หรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ก็รู้กันอยู่า เขาสนิทสนมกับใคร นั่นก็คือหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้มีบารมีค่อนข้างสูง
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่พรรคพลังประชารัฐปลดนายสามารถออกจากรองโฆษกพรรค นายษิทรา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ตนเข้าไปร้องและเห็นผู้สื่อข่าวเยอะ ก็เพิ่งดำเนินการ พรรคฯควรทำตั้งแต่ก่อนที่จะมีคนไปร้องด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
ต่อข้อถามว่าที่ผ่านมานายสามารถ ขู่ทุกคนว่าจะฟ้องกลับ หากมีการเอ่ยชื่อเขา แต่ทนายตั้มเป็นคนแรกที่กล้าเอ่ยชื่อถือเป็นการเปิดหน้าชนเลยหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า “มีขู่มาตลอด ถ้าใครเอ่ยชื่อเขา จะฟ้อง วันนี้ผมจะขอเอ่ยชื่อเขา 3 ครั้ง นายสามารถ นายสามารถ นายสามารถ จะฟ้องผม กี่ครั้งก็ฟ้องมาเลย เพราะเรื่องนี้ฟังจากคลิปเสียงแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อส่วนรวม คนประเภทแบบนี้ ตบทรัพย์เขา ไม่ควรจะอยู่ทำงานเกี่ยวกับการเมืองเลย พอเรื่องเงียบก็ชุบตัว แล้วกลับมาใหม่ มาในตำแหน่งใหม่ คลิปเสียง ผมให้ใครฟังแล้วก็บอกว่าเป็นนายสามารถ บางคนไม่อยากออกสื่อเพราะกลัว เดี๋ยวผมจะขอพยานที่เขาสมัครใจ อย่างพี่สิระ เจนจาคะ น่าจะเป็นเพื่อนรักกัน เขาถึงจำเสียงได้แม่นเลย”
เมื่อถามว่า บุคคล มีพาวเวอร์จริงหรือแอบอ้าง นายษิทรา กล่าวว่า ตัวเขาอยู่ใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ เขาก็น่าจะมีพาวเวอร์ และเขาคงจะมีผู้ใหญ่ให้ท้าย เพราะถ้าไม่มีผู้ใหญ่ให้ท้ายเขาคงไม่ปีกกล้าขาแข็งถึงขนาดนี้ ถึงขนาดไปเรียกเงินจากบอสพอล ให้ดูแลเป็นรายเดือน นี่เป็นแค่กรณีเดียว เพราะยังมีอีก ซึ่งหากใครถูกเรียกค่าดูแลขอให้แจ้งตนได้เลย ตนพร้อมจะจัดการให้
เมื่อถามว่าการขับนายสามารถออกจากรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ในทางพฤตินัยยังติดต่อกันหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นการขับเพื่อลดแรงกระแทก จากคนที่สนใจข่าวนี้หรือไม่ แต่ตนคิดว่าถ้าพอเรื่องเงียบ นายสามารถกลับมารอบนี้เป็นหัวหน้าพรรคจะทำอย่างไร ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ฉะนั้นการที่พรรคขับเขาออกแล้ว ก็ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วยว่า มีการรีดเงินจริงหรือไม่
ต่อข้อถามว่าจะสาวไปถึงบิ๊กบอสทางการเมืองตัวจริงหรือไม่ นายษิทรา ร้องโหย พร้อมกล่าวว่า ถ้าจะเอาจริงก็คงเป็นเรื่องยาก ถ้าเขามีพฤติกรรมอย่างว่าจริง และถ้าต้องเอาเงินไปให้คนที่อยู่สูงกว่า เขาก็คงไม่รับสารภาพ เพราะจะไปถึงบิ๊กบอสได้ ตัวนายสามารถเองต้องรับสารภาพ
นายษิทรา กล่าวด้วยว่า ว่าในวันที่ 21 ต.ค.นี้ จะไปยื่นเรื่องเกี่ยวกับนายสามารถอีก แต่ขออุบไว้ก่อนว่าเป็นที่ไหน