วันที่ 6 มิถุนายน 2567  นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  แถลงข่าวกรณีที่ เพจ "ชมรม Strong ต้านทุจริตประเทศไทย" และ สังคมได้ตั้งคำถาม ถึง กทม.เกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายที่สูงกว่าราคาตลาดเกือบ 10 เท่า เช่น ลู่วิ่งไฟฟ้า ราคาตัวละ 759,000 บาท และจักรยานปั่นแบบมีพนักพิงตัวละ 483,000 บาท

ผู้ว่าฯ กทม.ระบุว่า เรื่องนี้ต้องทำการตรวจสอบเพราะเป็นอำนาจระดับกองในเรื่องของความไม่โปร่งใส ต้องดูว่าโครงการเล็ดรอดไปได้อย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้ว่าฯ ตรงนี้ต้องรับผิดชอบ เชื่อว่าราคาอาจจะเป็นการปรับราคาจากที่เคยซื้อมาแล้ว แต่เราต้องไม่มองแค่ในกรณีนี้ ต้องปรับปรุงทั้งระบบ

ขอย้ำทำทุกอย่างตามกฎหมาย เพราะกำหนดชัดเจนว่าใครมีอำนาจอะไร เราในส่วนบริหารก็มีกรอบว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ และยืนยันว่าฝ่ายบริหารไม่เคยมีการให้นโยบายที่ไปกำหนดว่าจะเอาของเจ้าไหน ไม่เอาแบบไหน และโปร่งใสมาโดยตลอด   หากมีคนที่ทำผิดก็ต้องดำเนินการให้เต็มที่ ตอนนี้ก็ทำงานตรวจสอบแบบคู่ขนานกันไป ทั้งคณะกรรมการป้องกันการทุจริต และ สตง. และ ยินดีหากมีการตรวจสอบ

ยืนยันไม่ได้เกี่ยวกับผู้ว่าฯ คนเก่า มันอยู่ในงบประมาณนี้ ไม่ได้อยู่ในโครงการเก่า คิดว่าน่าจะมีข้อจำกัดในเรื่องของห้วงเวลา ทำให้มีการใส่งบเพื่อเร่งรีบเข้าสภาฯ หรือการเอางบแปรใส่เข้าไป ซึ่งมันมีข้อจำกัด และมันเป็นเรื่องที่ต้องเอามาปรับปรุง อีกทั้งโครงการจัดซื้อเครื่องกีฬา มีมานานแล้ว และตนคงบอกไม่ได้แพงหรือไม่แพง แต่จะต้องไปไล่ตรวจคนตรวจรับงาน "ถ้าประชาชนเอ๊ะ แต่เราไม่เอ๊ะ มันก็บ้าแล้ว" แต่จากนี้ก็ต้องขยายการตรวจสอบออกไปให้รอบคอบ  

ด้านนายสมบูรณ์ หอมนาน รองปลัดกรุมเทพมหานครเปิดเผยว่า พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง กรรมการต้องไปสืบราคาท้องตลาดไม่น้อยกว่า 3 ราย ซึ่งต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพนั้นๆ ทุกการจัดซื้อมีการลงในบัญชีกลาง สามารถตรวจสอบได้ มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบ และเราก็ยินดีให้ตรวจสอบ การซื้อเราประกาศไปเป็นสาธารณะ รับซื้อจากบริษัททางร้าน และร้านต่างๆ ก็ต้องรับความเสี่ยงว่าต้องมีความแข็งแรงทนทานถ้าเกิดชำรุดเสียหายก็ต้องมาเปลี่ยนให้ และมีประชาชนใช้งานทุกวัน ทั้งนี้ถ้าซื้อ 30,000 หรือ ซื้อ 200,000 บาท ถ้าทำได้ก็ทำ แต่มันต้องเป็นไปสตามสเป็คของเครื่อง