วันนี้ (3 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังร่วมหารือกับกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร-ชลบุรี-เชียงใหม่-ภูเก็ต พร้อมสำนักงานตำรวจแห่งชาติถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และแผนบูรณาการการท่องเที่ยวเปิดสถานบริการถึงเวลา 04.00 น.ว่า ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนนั้น สิ้นเดือนนี้จะมีการแถลงข่าวใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับหนี้นอกระบบ จากนั้นเป็นการประชุมต่อเรื่องขยายเวลาสถานบันเทิง โดยมีหลายหน่วยงานร่วมหารือ ก็ต้องดูว่ามีความเหมาะสมอย่างไร ซึ่งก็ยังมีผู้ว่าราชการ 4 จังหวัดหลักมาร่วมหารือด้วย เป็นจังหวัดนำร่อง “ตรงไหนที่เราทำได้เราก็จะทำก่อน” ส่วนในอนาคตก็ไปว่ากันทีหลัง

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำให้เป็นเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างเดียว แต่ยังทำให้ประชาชนที่มีอาชีพค้าขายด้วย หรือร้านอาหารและสถานบริการด้านอื่น สามารถเปิดบริการให้ได้มากยิ่งขึ้น ตรงนี้มีนัยสำคัญหลายนัย ยกตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ เขาไม่ได้ทานข้าวเร็วเหมือนเรา บางคนทานตอน 21.00-22.00 น.ก็มี หากสถานบริการปิดเที่ยงคืนถึงตีสอง เขาก็ต้องเร่งให้เสร็จไว จำนวนอาหารที่จะสั่งก็น้อยลง การใช้จ่ายเงินก็อาจจะน้อยลงไป ก็เป็นเรื่องของการขยายเวลา

ขณะที่ทางกระทรวงมหาดไทย ก็ดูเรื่องการทำโซนนิ่ง และใบอนุญาตต่างๆ ซึ่งจะทยอยตามมา โดยเดดไลน์ที่คาดไว้คือ 15 ธันวาคมนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้ทำความเข้าใจกับประชาชน ทั้งเรื่องปัญหาเสียงรบกวน การเมาไม่ขับก็จะต้องเน้นย้ำ การติดกล้องซีซีทีวีก็จะต้องมากขึ้น

เมื่อถามถึงการเข้มงวดการตรวจตราใช่ยาเสพติดในสถานบันเทิง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่อง ที่ต้องทำอย่างเข้มข้น เมื่อถามว่าในส่วนขยายเวลานั้น เป็นช่วง 04.00 น. หรือมีช่วงเวลาอื่นอีก นายกรัฐมนตรี บอกว่า แค่ 04.00 น. ซึ่งแล้วแต่เหตุอะไรๆ อื่นด้วย ตามกฎหมายทำให้เหมาะสม ส่วนจะทำถาวรเลยหรือไม่นั้น “น่าจะเป็นเพียงช่วงคราวก่อน เพราะอาจจะมีการเปลี่ยนโซนนิ่งและอะไรหลายๆ อย่างด้วย ขอทำช่วงต้นนี้ก่อน เริ่ม 15 ธันวาคม” ส่วนจะไปถึงไหนก็จะต้องมีคณะพิจารณาตามความเหมาะสมอีกที

เมื่อถามว่าที่กรุงเทพฯ จะเป็นเพียงบางพื้นที่หรือทั่วจังหวัด นายกรัฐมนตรี ยืนยันต้องเป็นการจัดโซนแน่นอน พร้อมย้ำว่าการดำเนินการทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ให้ความมั่นใจว่า หากทุกอย่างที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ทั้งกำลังพลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็สามารถบริหารจัดการได้.