หน้าแรก > ภูมิภาค

4 จังหวัดอีสานล่าง ป่วยโรคไข้ดินเกือบ 600 ราย เสียชีวิต 6 คน

วันที่ 21 ตุลาคม 2566 เวลา 12:08 น.


21 ตุลาคม 2566 นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคเมลิออยด์ หรือโรคไข้ดิน ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ว่า พื้นที่ดูแล 4 จังหวัดภาคอีสานตอนล่าง พบผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 7 ตุลาคม 2566 มากถึง 582 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 6 ราย

จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วยมากสุด 336 ราย เสียชีวิต 4 ราย รองลงมาคือจังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วย 93 ราย และเสียชีวิต 2 ราย , จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 106 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต และจังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 47 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต

อาชีพที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ เกษตรกร ร้อยละ 53.78 รองลงมาคือ รับจ้าง ร้อยละ 25.88   กลุ่มอายุที่พบสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55 – 64 ปี และกลุ่มอายุ 45 – 54 ปี

โรคเมลิออยด์ หรือ โรคไข้ดิน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “เบอร์โคเดอเรีย สูโดมัลลิอาย” พบได้ทั่วไปในดิน น้ำ นาข้าว ท้องไร่ แปลงผัก สวนยาง ในทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ

1. การสัมผัสน้ำหรือดินที่มีเชื้อปนเปื้อน 
2. การดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป
3. สูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป

เมื่อติดเชื้อประมาณ 1-21 วัน จะเริ่มมีอาการเจ็บป่วย แต่บางรายอาจนานเป็นปีขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละคน ซึ่งอาการของโรคนี้ไม่มีลักษณะเฉพาะ จะมีความหลากหลายคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ หลายโรค เช่น มีไข้สูง มีฝีที่ผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ และอาจติดเชื้อเฉพาะที่หรือติดเชื้อแล้วแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะ และเสียชีวิตได้

จึงขอให้ประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรป้องกันตนเองจากโรคเมลิออยด์หรือโรคไข้ดิน ด้วยการหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ ย่ำโคลน หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน แต่หากจำเป็น ก็ควรสวมรองเท้าบูทหรือถุงพลาสติกหุ้มรองเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าสัมผัสน้ำโดยตรงและ หากมีบาดแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ รวมทั้ง อาบน้ำชำระร่างกายทันทีหลังจากทำงานหรือลุยน้ำ และให้ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง  หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบด้วย เพื่อที่แพทย์จะได้ตรวจวินิจฉัยและรักษาตามอาการและความรุนแรงของโรคทันที ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ข่าวยอดนิยม


ข่าวยอดนิยม