27 กันยายน 2566 วารสารบีเอ็มเจ พับลิก เฮลธ์ (BMJ Public Health) ระบุผลการศึกษาที่ชี้ว่าวิกฤตค่าครองชีพอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรหลายพันคนในสหราชอาณาจักร และทำให้ช่องว่างทางสุขภาพและความมั่งคั่งระหว่างคนที่รวยที่สุดและยากจนที่สุดมีระยะห่างมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความเหลื่อมล้ำทางฐานะและสุขภาพของประชาชนจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การศึกษาแบบจำลองใหม่ชี้ให้เห็นว่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (ผู้ที่เสียชีวิตก่อนอายุ 75 ปี) จะเพิ่มขึ้น 6.5% ในปีนี้ เนื่องจากค่าครองชีพวิกฤติ โดยมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 30 รายต่อ 100,000 คน

ชาวอังกฤษหลายล้านคนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากระดับเงินเฟ้อที่ไม่เคยพบเห็นมาตั้งแต่ปี 1970 อันเป็นผลมาจากสงครามในยูเครน โควิด และนโยบายเศรษฐกิจ ครัวเรือน ที่ยากจนต้องแบกรับภาระหนักเนื่องจากพวกเขาใช้สัดส่วนรายได้ไปกับพลังงานมากขึ้น ซึ่งต้นทุนก็เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการออกจากสหภาพยุโรปหรือที่เรียกว่าเบร็กซิต และสงครามในยูเครน อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรในเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 6.7 แม้ว่าลดลงจากที่เคยสูงสุดในรอบ 41 ปีที่ร้อยละ 11.1 ในเดือนตุลาคม 2565 แต่ก็ยังคงสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศหรือจี 7

คณะนักวิจัยได้ศึกษาผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่มีต่ออัตราการเสียชีวิตในสกอตแลนด์ระหว่างปี 2565-2566 ในกรณีที่รัฐบาลมีและไม่มีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน แล้วนำข้อมูลนี้มาคาดการณ์อายุขัยและความเหลื่อมล้ำในสหราชอาณาจักรโดยรวม

ผลการศึกษาคาดการณ์ว่า ในกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน สหราชอาณาจักรจะมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรคือก่อนอายุ 75 ปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในพื้นที่ขาดแคลนน้อยที่สุด และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ในพื้นที่ขาดแคลนมากที่สุด หรือเฉลี่ยรวมที่ร้อยละ 6.5 ส่วนในกรณีที่รัฐบาลไม่มีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5 ในพื้นที่ขาดแคลนน้อยที่สุด และร้อยละ 23 ในพื้นที่ขาดแคลนมากที่สุด ผลการศึกษาคาดการณ์ด้วยว่า ครัวเรือนขาดแคลนที่สุดจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 4 เท่าของครัวเรือนร่ำรวยที่สุด เพราะต้องใช้เงินมากขึ้นไปกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก theguardian.com