วันที่ 14 กรกฎาคม 2566 เวลา 18:35 น.
วันที่ 14 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวได้รับฟังเรื่องราวของสองยายสูงอายุซึ่งเป็นชาวสวนย่านตำบลลำโพ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ว่าหอบโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านทรงไทย พื้นที่ประมาณ 4 ไร่เศษ เข้าถวายให้กับพระครูพิทักษ์สุนทร เจ้าอาวาสวัดศรีเขตนันทาราม ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมีความประสงค์ที่จะให้ที่ดินและบ้านทรงไทยในพื้นที่ทั้งหมดตกเป็นของวัด เพราะเกรงว่าด้วยความที่มีอายุมากขึ้นทุกวันเหมือนไม้ใกล้ฝั่งและทั้งสองยายไม่มีครอบครัวลูกหลาน ให้เป็นห่วง อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพัง 2 คนพี่น้อง จึงเกรงว่าหากปล่อยเวลาให้ผ่านไปและไม่ตัดสินใจให้เสร็จสิ้น หากวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยหรือสติหลงลืมหรือเสียชีวิตลง จะเกิดปัญหาตามมาภายหลังในเรื่องมรดกทรัพย์สิน ทั้งสองยายจึงตัดสินใจปรึกษากัน นำโฉนดที่ดินพร้อมบ้านทรงไทยไปถวายให้กับทางวัดเป็นผู้ดูแลต่อไปในอนาคต โดยหวังว่าอนิสงค์ผลบุญจะส่งไปถึงในชาติหน้าให้เกิดมามีที่ดินอยู่อาศัยเหมือนเดิม
เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้เดินทางพบ พระครูพิทักษ์สุนทร เจ้าอาวาสวัดศรีเขตนันทาราม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันพระใหญ่ทางวัดมีการทำบุญเลี้ยงเพลพระ ซึ่งยายทองหล่อกับยายกะท้อน สองคนพี่น้องซึ่งเป็นคนในตำบลลำโพมาตั้งแต่เกิด ได้เดินทางมาร่วมทำบุญที่วัดตามปกติเหมือนเช่นเคย แต่ในวันนั้นทั้งสองยายได้นำโฉนดที่ดินประมาณ 4 ไร่เศษพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นบ้านทรงไทย มาขอยกถวายให้กับทางวัดเป็นผู้ดูแลต่อไปในอนาคต เนื่องจากยายซึ่งมีอายุมากแล้ว และมีกันอยู่เพียง 2 สองคนพี่น้อง เห็นว่าในตอนนี้เป็นช่วงบั่นปลายของชีวิตแล้ว จึงเกรงว่าหากไม่จัดการเรื่องทรัพย์สมบัติให้เรียบร้อยเสียก่อน ก็จะเป็นห่วงผูกมัด จึงปรึกษาและตัดสินใจร่วมกันก่อนจะเดินทางนำโฉนดที่ดินมาถวายในวันดังกล่าว
พระครูพิทักษ์สุนทร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทั้งโยมทั้งสองคนเป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบเข้าวัดทำบุญเป็นประจำ รวมทั้งยังเป็นโยมอุปัฏฐากของวัดศรีเขตนันทารามอีกด้วย โดยเฉพาะในปีไหนที่ทางวัดไร้เจ้าภาพจัดงานกฐิน โยมทั้งสองก็จะรับเป็นประธานช่วยจัดงานทอดกฐินให้กับทางวัดในทุกๆปีด้วยความเต็มใจ ส่วนเหตุผลในการนำที่ดินและบ้านมาถวายให้กับทางวัดนั้น เป็นเพราะโยมทั้งสองเห็นว่า ตนเองมีอายุมากขึ้นทุกวันแต่ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะล้มป่วยหรือหลงลืมหรือเสียชีวิตลง ประกอบเหลือกันอยู่เพียงสองพี่น้องเท่านั้น จึงได้ปรึกษาหารือกันดีแล้วในช่วงที่สติสัมปะชัญญะยังดียังครบถ้วนอยู่ ตัดสินใจยกที่ดินพร้อมบ้านทรงไทยที่อยู่อาศัยถวายให้กับทางวัดเป็นผู้ดูแลต่อไปในอนาคต หลังจากที่ทั้งสองยายได้จากไปแล้ว ทั้งนี้ในวันดังกล่าวยังมีชาวบ้านซึ่งมาร่วมทำบุญในวันนั้นต่างพากันร่วมอนุโมทนาบุญกุศลกับโยมทั้งสองคนที่ตั้งใจที่มีความปราถณาอันล้นเปี่ยมในการทำบุญใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย
พระครูพิทักษ์สุนทร เจ้าอาวาสวัดศรีเขตนันทาราม กล่าวอีกว่า หลังจากที่ทางวัดรับมอบโฉนดที่ดินพร้อมบ้านทรงไทยที่ยายใจบุญทั้งสองคนนำมาถวายแล้ว ทางวัดก็ไม่ได้เข้าไปดำเนินการอะไรในพื้นที่ดังกล่าว ปล่อยให้ยายทั้งสองคนพักอยู่อาศัยกันไปตามเดิมเหมือนปกติ ตามเจตนาที่โยมทั้งสองคนต้องการคือหลังยกโฉนดที่ดินพร้อมบ้านถวายวัดไปแล้ว ก็จะขออยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ต่อไปจนกว่ายายทั้งสองคนจะไม่อยู่แล้ว ทางวัดจึงจะเข้าไปดูแลต่อแทน
ในเวลาต่อมานายธานี พิกุลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดนนทบุรีพร้อมกับผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ น.ส.ทองหล่อ แจ่มเหมือน อายุ 83 ปี และ น.ส.กะท้อน แจ่มเหมือน อายุ 80 ปี สองยายพี่น้องที่บ้านพัก เพื่อสอบถามรายละเอียด โดยพบว่าทั้งสองยายอาศัยอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน ในบ้านทรงไทย 2 ชั้น บนเนื้อที่ 4 ไร่เศษ โดยรอบบริเวณบ้านพักมีต้นมะม่วงและไม้ผลอื่นๆ รายล้อมบ้านจำนวนมาก
โดยยายทองหล่อและยายกะท้อนเปิดเผยว่า ตนทั้งสองคนเป็นคนที่นี่ เกิดและเติบโตขึ้นมาจนปัจจุบันก็มีอายุมากกันแล้ว ไม่มีครอบครัวอะไรให้ต้องห่วงเพราะเหลือกันอยู่เพียงสองคนพี่น้องเท่านั้น จนได้มาปรึกษากันว่า อายุตนทั้งสองคนก็เริ่มมากขึ้นทุกวัน ทรัพย์สินที่มีคือบ้านกับที่ดินที่พักอาศัยกันอยู่ในปัจจุบันจะไม่มีคนดูแลต่อไปในอนาคตหากตนทั้งสองคนเสียชีวิตลง จึงตัดสินใจด้วยความมุ่งมั่นว่า จะยกที่ดินประมาณ 4 ไร่เศษพร้อมกับบ้านทรงไทยถวายเป็นบุญกุศลครั้งสุดท้ายของชีวิตให้กับทางวัดเป็นผู้รับไปดูแลต่อไป ซึ่งเมื่อได้นำโฉนดไปถวายให้กับทางวัดแล้ว ตนรู้สึกสบายใจที่ได้ทำบุญใหญ่ในตอนที่สติสัมปะชัญญะยังดีอยู่ ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไป แล้วเกิดแก่ชราจนหลงลืม เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตลงก็จะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง ทุกวันนี้ตนทั้งสองคนก็สบายใจ จะหลับจะนอนก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว เพราะได้ยกที่ดินกับบ้านถวายวัดไปหมดแล้ว ทุกวันนี้ก็เหมือนกับคนที่ขออาศัยที่ดินวัดอยู่แบบนี้สบายใจมากกว่า
ทั้งสองยายยังเปิดเผยอีกว่า ก่อนหน้าที่ตนทั้งสองคนจะตัดสินใจยกที่ดินถวายวัดไปนั้น มีนายหน้าประมาณ 2-3 คน มาติดต่อขอซื้อที่ดินผืนนี้กับตนทั้งสอง แต่นายหน้ากลับหาว่าตนทั้งสองคนขายที่แพง ตนจึงตัดสินใจกันว่า หากยอมขายที่ดินผืนนี้ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดและผูกผันไป พอขายไปแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแทน จึงคิดตรงกันว่าเงินทองที่พอมีกินมีใช้กันอยู่ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้อดยากอะไรกับชีวิตในบั้นปลาย ตนทั้งสองคนจึงตัดใจยกที่ถวายทำบุญกับวัดไปด้วยความสบายใจดีกว่า อย่างน้อยที่ดินผืนนี้ก็ยังคงอยู่กับวัดตลอดไปไม่มีใครสามารถเอาไปได้ และตนทั้งสองคนยังได้พักอาศัยกันอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องย้ายที่อยู่ใหม่ และตนทั้งสองคนก็มีความเชื่อความศรัทธาว่า ด้วยผลบุญกุศลที่ตนทั้งสองตั้งใจทำบุญใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตจะทำให้ชาติหน้าที่ได้เกิดมาตนทั้งสองคนก็จะมีที่เกิดที่กินที่อยู่ ไม่อดยากอยากจนตามที่ได้อธิษฐานไว้
นอกจากนี้ทั้งยายทองหล่อและยายกะท้อนยังเปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมาตนทั้งสองคนได้ร่วมกันซื้อที่ดินถวายให้กับวัดที่อื่นมาแล้ว 2 วัด คือวัดบ้านกรวด อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี และวัดสามง่าม ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ส่วนวัดสุดท้ายที่ตั้งใจยกที่ดินถวายวัดคือ วัดศรีเขตนันทาราม ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเมื่อนับรวมที่ดินที่ตนทั้งสองคนถวายให้กับทางวัดทั้ง 3 แห่งไป รวมเป็นพื้นที่ประมาณ 10 ไร่
19 พฤศจิกายน 2567
19 พฤศจิกายน 2567
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา
อ่านเพิ่มเติมยอมรับ