วันที่ 13 มิถุนายน 2566 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังแถลงข่าว “365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน” แถลงผลดำเนินงาน 1 ปี 9 ด้าน 9 ดี โดยระบุว่า วันนี้ไม่ได้เป็นการแถลงผลงานชัชชาติ แต่เป็นการแถลงผลงานของทีม กทม. ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งข้าราชการ บุคลากร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ถ้ามีความดีทั้งหลายยกให้ทีมงาน แต่ถ้ามีข้อบกพร่องขอเป็นคนรับผิดชอบเอง ซึ่งในการทำงานนั้น มีแนวคิดการทำงาน 365 วันที่ผ่านมา 5 ข้อ

1.ให้ความสำคัญกับเส้นเลือดฝอย และยังทำโครงการขนาดใหญ่ควบคู่กันไปด้วย ไม่ได้ละเลยเส้นเลือดใหญ่ แต่ทำให้เข้มแข็งทั้งคู่

2.เปลี่ยนวิธีการทำงานโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ต้องยึดที่ตัวผู้ว่าฯ กทม.เป็นหลัก เช่น การแก้ไขปัญหาผ่านทราฟฟี่ฟองดูว์ ที่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนที่แจ้งเข้ามา 301,649 เรื่อง แก้ไปได้ 217,930 เรื่อง

3.ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงานเพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคต  

4.ให้ความสำคัญเรื่องความโปร่งใส โดยเปลี่ยนกรอบความคิดของข้าราชการ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ และ

5.สร้างภาคีเครือข่ายทั้งในและนอกประเทศ ในการขับเคลื่อนเมือง แนวทางการทำงานดังกล่าวจะทำต่อเนื่องในปีที่ 2-3 ต่อไป

สำหรับนโยบายจากวันแรกที่เข้ามาทำงาน มี 216 นโยบาย ขยายสู่ 226 นโยบาย 1 ปี ที่ผ่านมา เริ่มดำเนินแล้ว 211 นโยบาย มี 11 นโยบาย ที่ยังไม่เริ่ม และ 4 นโยบาย ยุติไป เพราะบางเรื่องไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง เช่น ห้องให้นมบุตร ห้องสมุดเคลื่อนที่ในชุมชน เป็นต้น

“การทำงานช่วงปีแรก ได้เน้นการทำงานแซนด์บ็อกซ์ในเรื่องต่างๆ ทั้งการศึกษาและสาธารณสุข เป็นการทดสอบแนวคิดและทำต้นแบบ เพื่อขยายต่อในปี 2-3 ให้เพิ่มมากขึ้น และจะประสบสำเร็จในปีที่ 4โครงการใหญ่ๆ หลายเรื่อง เป็นเรื่องที่ทำต่อกันมาตั้งแต่สมัย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร  ทั้งอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ทางยกระดับ สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ โครงการรถไฟฟ้าเป็นต้น แต่ที่ทำในสมัยตน คือ โรงบำบัดน้ำเสียคลองเตย การก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลทวีศักดิ์” 

นายชัชชาติ กล่าวว่า ตลอด1ปีที่ผ่านมา ให้คะแนนการทำงานตัวเอง 5 เต็ม 10 เพราะยังมีอีก 11 นโยบาย ที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและระบบการจราจร ส่วนการทำงานกับข้าราชการ อาจจะมีปัญหาทั้งสองฝั่ง ซึ่งข้าราชการอาจมองว่าเราทำงานเร็วไป และมีกระบวนการต่างๆ ที่ต้องทำอย่างรอบคอบ โดยจากนี้จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทลายกำแพงการทำงานร่วมกับข้าราชการ และ จะมีการเปิดเผยข้อมูล ใช้ระบบออนไลน์เข้ามาช่วย ส่วนกระแสในโซเชียลที่ระบุว่าผู้ว่าฯชัชชาติ ไม่มีผลงานนั้น แล้วแต่คนจะมอง

"เรื่องที่ยากที่สุดในการทำงานว่าคือเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เรื่องความโปร่งใสเป็นหัวใจหลัก หากไม่มี ประชาชนก็จะไม่ไว้ใจ แต่แนวโน้มของเรื่องนี้ดีขึ้น ในส่วนของเรื่องร้องเรียนผ่านระบบ Traffy Fondue ที่มีมากถึง 3 แสนเรื่อง ไม่ได้แสดงว่าเราอ่อนแอ แต่แสดงว่าประชาชนเริ่มไว้ใจเรา เชื่อว่าเราเอาจริงเอาจัง ซึ่งเห็นว่าเรื่องของ “ความไว้ใจ” มีค่ามากกว่างบประมาณ สำหรับประเด็นน้ำท่วมในกรุงเทพฯ นั้น เชื่อว่าจะดีขึ้นแน่นอน โดยในกทม.มีจุดเสี่ยงกว่า 700 แห่ง เมื่อระบุในแผนที่ดิจิทัลและเร่งแก้ในแต่ละจุดจะเห็นว่าแก้ไปได้มากกว่าครึ่ง ในขณะเดียวกันก็ทำเส้นเลือดใหญ่คืออุโมงค์เพิ่ม และเหตุฝนตกหลายครั้งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่าน้ำระบายได้ดีขึ้น แต่ผลกระทบจาก Climate Change ซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักในบางจุดเป็นสิ่งที่ยังกังวล เพราะต้องใช้เวลาในการระบายน้ำมากขึ้น แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น"

"จุดแข็งของกทม.คือเราเป็นหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่และทรัพยากรอยู่ในทุกส่วนทุกพื้นที่ หากเราเอาใจใส่และจริงจังจะสามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้จริง ๆ ที่ผ่านมา 1 ปี เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หัวใจสำคัญไม่ใช่การประชาสัมพันธ์ผลงาน แต่อยากให้ประชาชนรู้สึกเองว่าชีวิตดีขึ้นจากงานที่กทม. เรื่อง Mega Project เรื่องหนึ่งที่กทม.ทำ คือ เอาเทคโนโลยีมาควบคุมเรื่องการจราจร น่าจะเริ่มเห็นผลในปีหน้า ซึ่งเห็นว่าปัญหาจราจรที่สำคัญคือการควบคุมไฟจราจร และพบว่ายังไม่มีการทำงานแบบ Area Base หากสามารถเชื่อมโยงข้อมูล และนำเทคโนโลยีมาช่วยในการตัดสินใจ เปิดไฟจราจรให้สอดคล้องกับสภาพจริงจะทำให้ปัญหาดีขึ้น ซึ่งต้องประสานกับตำรวจเพื่อทำให้เกิดขึ้นจริง โดยกำหนดพื้นที่เป็น Zoning เริ่มจากถนนพหลโยธิน"

“ปัญหาของกรุงเทพไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีคนสนใจ แต่กลับเป็นเรื่องที่แตะกับชีวิตคน ฉะนั้น เรื่องเล็กที่กทม.ทำจึงไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่เป็นการตอบโจทย์ประชาชนได้ตรงจุด ซึ่งต้องทำทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่คู่ขนานกันไป” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว