วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เวลา 12:39 น.
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.เปิด ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด สั่งให้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. สืบนครบาลนำทีมบุกชุมชนวัดไผ่เงิน รวบ หนูวัดไผ่เงิน ระดับหัวจ่ายน้องชายผู้นำชุมชน หลังหลบหนีหมายจับมากว่า 10 ปี ด้วยยุทธวิธี “หนูท่อ” ทำเอาเจ้าหน้าที่คว้าน้ำเหลวไปกว่าหลายครั้ง จนต้องงัดยุทธวิธีย่องเงียบ เช้าตรู่ปีนป่ายล้อมคนร้ายทุกทิศทาง จนถึงกับมีผู้กองนักสืบสาวตกหน้าต่างกระดูกแตกเลยทีเดียว
โดยวันนี้(วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567) สืบนครบาล ร่วมกันสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมตัว "หนูวัดไผ่เงิน" อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.299/2557 ลงวันที่ 19 พ.ค. 57 แจ้งข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” โดยจับกุมตัวได้ที่บ้านพัก ชุมชนวัดไผ่เงินซ.จันทน์ 43 เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพฯ
พฤติการณ์กล่าวคือ “10 ปีแห่งการหลบหนี” ของหนูวัดไผ่เงิน ระดับหัวจ่ายยาเสพติดในชุมชน ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้ามาตรวจค้นในบ้านของหนูไผ่เงิน แต่เจ้าตัวไหวตัวทัน ปีนหน้าต่างมุดหนีออกไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่ได้ทิ้งของกลางยาเสพติดจำนวนมากและบัตรประจำตัวประชาชนไว้ในห้องพัก ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับในเวลาต่อมา แต่ทว่าหนูได้หายเข้ากลีบเมฆไปเป็นเวลากว่า 9 ปี
กระทั่งล่าสุดช่วงปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเบาะแสว่า หนูได้กลับมากบดาลอยู่ในชุมชนวัดไผ่เงิน จึงได้มีการนำกำลังเข้าไปไล่ล่าจับกุมกว่าหลายครั้ง แต่ก็คลาดกันอย่างฉิวเฉียดอยู่ตลอดเหมือน “แมวไล่จับหนู” เพราะคนร้ายมีดีกรีเป็นถึงน้องชายผู้นำชุมชนในชุมชนมีพวกคอยสอดส่องดูเจ้าหน้าที่ให้หนูวัดไผ่เงินอยู่ตลอด ทันทีที่เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าชุมชนคนร้ายก็จะไหวตัวและปีนออกทางหน้าต่าง แล้วใช้ความชำนาญในพื้นที่ลัดเลาะไปหลบในบ้านของพรรคพวกในชุมชน เรียกได้ว่าสมรภูมิของคนร้ายได้สุดจะได้เปรียบ
หลังถูกจับกุม "หนูวัดไผ่เงิน" ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาที่บ้านของตน ซึ่งมียาเสพติดอยู่ในบ้านจำนวนมาก ตนจึงมุดกระโดดออกทางด้านหลังและหลบหนีไป โดยในห้องพักนั้นตนได้ทิ้งบัตรประชาชนเอาไว้ จึงทำให้ตำรวจออกหมายจับตน โดยที่ตนเองเลือกที่จะหนีสุดชีวิตเพราะยาเสพติดในห้องของตนนั้นมีจำนวนมาก โดยตลอด 10 ปี แห่งการหนีนั้นลำบากเสียยิ่งกว่าติดคุก โดยช่วงแรกของการหลบหนี ตนได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี โดยไปพึ่งใบบุญคนรู้จัก ซึ่งเป็นเจ้าของสวน โดยไปอยู่เหมือนเป็นลูกจ้างรายวันทำสวนทำไร่ แต่เมื่อทำไปได้ 2-3 ปี เริ่มรู้สึกทรมานเพราะตนเองได้ถูกต่อว่าตลอดว่าเป็นคนขี้เกียจ จึงตัดสินใจที่จะกลับมาอยู่ที่ กทม. แต่ทางบ้านก็แจ้งให้ยังไม่ต้องมาเพราะยังมีตำรวจตามจับอยู่ จึงกล้ำกลืนฝืนทนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 9 ของการหลบหนี ตนเองทนไม่ไหวจึงกระทั่งได้นำ น้ำหวาน , ยาพารา และสารอื่นๆผสมกับน้ำยาไปฉีดพืชพรรณในไร่จนพืชตายทั้ง 100 ไร่ จนเจ้าของไร่ถึงกับเจ๊ง แล้วตนก็หนีกลับมาที่กรุงเทพ โดยในระยะเวลา 1 ปี ก่อนจับกุม ตนเองก็หลบๆซ่อนๆอยู่ในชุมชนวัดไผ่เงิน และคอยให้พรรคพวกและญาติๆคอยสังเกตการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจเวลาเข้ามาในชุมชน หากมีเจ้าหน้าที่มาก็จะมีคนแจ้งแล้วตนเองก็จะมุดหลบหนีซอกแซกเข้าไปในชุมชน ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัวตนเองได้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ ยอมรับว่าชีวิตที่ผ่านมาลำบากอยู่ในคุกยังสบายกว่า ยังเสียดายว่าถ้าตนเองยอมมอบตัวตั้งแต่แรกป่านนี้คงพ้นโทษและได้ออกมาใช้ชีวิตไปนานแล้ว ตอนนี้หนีมาแล้ว 10 ปี ต้องหนีอีก 10 ปี จึงจะหมดอายุความ กลับตัวก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไปไม่ถึง”
29 พฤศจิกายน 2567
ข่าวดี! ครม. เห็นชอบ ปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ-ผู้พิการ-เด็กทารก
29 พฤศจิกายน 2567
ร้านอาหาร "ศรณ์" คว้า รางวัลสามดาวมิชลิน มาครองเป็นร้านแรกในไทย
29 พฤศจิกายน 2567
ข่าวดี! ครม. เห็นชอบ ปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ-ผู้พิการ-เด็กทารก
29 พฤศจิกายน 2567
ร้านอาหาร "ศรณ์" คว้า รางวัลสามดาวมิชลิน มาครองเป็นร้านแรกในไทย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา
อ่านเพิ่มเติมยอมรับ